ความรู้

วามรู้...

คนเราจะมีความรู้ได้อย่างไร
คำตอบที่ง่ายที่สุดคือ...แสวงหา

แต่สมัยนี้ คนเราแสวงหาอะไรที่ไม่ใช่ความรู้ แต่แสวงหาความโง่ สิ่งอำนวยความสะดวกต่างๆ ใช่ว่าไม่จำเป็นต้องมีความรู้แล้วจะใช้สิ่งเหล่านั้นได้ ทุกสิ่งต้องอาศัยกระบวนการเรียนรู้

ยกตัวอย่าง ท่านไม่เคยขับรถยนต์ อยู่ๆท่านจะขับมันไปอย่างนั้นเลยได้ไหม ท่านจำเป็นต้องเรียนรู้ใช่หรือไม่ว่า นี่คือ ที่ๆทำให้เครื่องยนต์ทำงาน นี่คือที่บังคับทิศทาง นี่คือที่ๆทำให้รถวิ่ง นี่คือที่ๆทำให้รถหยุด และที่ไหนที่จะทำให้เครื่องยนต์หยุดทำงาน

เห็นหรือไม่ว่า มันคือกระบวนการเรียนรู้ ในที่นี้ข้าพเจ้าไม่พูดถึงสิ่งที่เหนือขึ้นไปคือ การตรัสรู้ เพราะอาจเกินขอบเขตของปุถุชนคนธรรมดา แต่ก็ไม่ใช่ว่าจะเกิดขึ้นไม่ได้ แต่ข้าพเจ้าต้องการเจาะจงไปที่ การแสวงหาให้ได้มาซึ่งความรู้ ในแบบที่ตัวเราเต็มใจอยากเรียนรู้

เวลาเราสนใจกิจกรรมอะไรสักอย่างในช่วงชีวิตที่สามารถทำได้ เราจะใคร่ศึกษาหาความรู้ แต่ปัญหาของคนส่วนใหญ่คือ ด่วนได้ และชอบทำอะไรข้ามขั้นตอน ชอบหาทางลัดเพื่อให้บรรลุเป้าหมายที่หวัง โดยลืมความสำคัญของ พื้นฐานแห่งความรู้ในเรื่องนั้นๆ ตะแบงทำไปโดยไม่รู้ว่ามันผิดหรือถูก ขอแค่ได้อย่างที่หวังเป็นพอ

มันสมควรหรือ กับการดูถูก กระบวนการเรียนรู้ในลักษณะนี้

ตอนเริ่มต้นไม่สนใจ แล้วอยู่ๆก็มาบอกว่าตัวข้านี่แหละรู้ มันใช้ได้หรือ ความรู้นั้นจำเป็นต้องเริ่มต้นจากพื้นฐาน...พื้นฐานที่หลายๆคนมองว่ามันน่าเบื่อ หรือไม่ก็บอกกับตัวเองและคนอื่นว่า รู้อยู่แล้ว ข้ามไปเลยเพื่อความรวดเร็ว ข้าพเจ้าอยากจะบอกว่า ในโลกนี้ไม่มีหรอก ทางลัดสู่ความสำเร็จ ทุกอย่างต้องเริ่มจากการเรียนรู้ขั้นพื้นฐาน

ตอนเราเป็นทารก เราเรียนรู้ที่จะร้องเวลาหิว ร้องเวลาป่วยไข้ นั้นเป็นความรู้ที่ต้องการใช้สื่อสารกับบุคคลรอบข้างที่ดีที่สุดในขณะที่เรายังแบเบาะใช่หรือไม่

เราเรียนรู้ที่จะนอนคว่ำและเริ่มคลาน เพราะเราต้องการที่จะเคลื่อนที่เข้าหาสิ่งที่อยากเรียนรู้สัมผัสใช่หรือไม่

เราเริ่มหัดพูดและเดินเพื่อศักยภาพที่ดีขึ้นแห่งการแสวงหาความรู้ใช่หรือไม่...

ประโยคที่ว่า "ทุกสิ่งที่สัมผัส คือประสบการณ์แห่งการเรียนรู้" นั้นมีความหมายกับท่านในรูปแบบใด สิ่งที่เราต้องการศึกษา กับสิ่งที่ถูกยัดเยียดให้ศึกษานั้นท่านคิดเห็นต่อสิ่งเหล่านี้อย่างไร

การเรียนรู้ไม่ได้อยู่ที่ตัวอักษรที่รวมกันเป็นคำต่อเนื่องเป็นประโยค เพื่อสร้างทฤษฎีร้อยแปด พันประการ การเรียนรู้จำเป็นต้องใช้ปัญญา และสติ ไตร่ตรองให้เห็นแก่นของสาระที่เราจะเรียนรู้ ไม่ใช่จากการครอบงำโดยผู้อื่น

การแสวงหาความรู้ เราต้องเดินเข้าหา ไม่ใช่ให้องค์ความรู้ เข้ามาหาเราเอง
ดังคำถามที่ว่า...น้ำเพียงหยดเดียว จะทำอย่างไรไม่ให้มันเหือดแห้งหายไป

ท่านตอบได้ไหม...

หรือคำถามที่ว่า...จะทำอย่างไรเราจึงจะตักน้ำจนเต็มกระบวยได้
(กระบวย กับกระชอน แยกให้ออกนะ...ว่าอันไหนตักของเหลวได้)

ท่านตอบได้ไหม...

+

+

+

+

+

+

+

+

+

ชีวิตคนเราก็เหมือนกับน้ำหยดเดียวที่สักวันต้องเหือดแห้ง หรือกระบวยที่ไม่มีวันตักน้ำได้จนเต็ม แล้วคำตอบคืออะไรล่ะ

น้ำเพียงหยดเดียวจะทำอย่างไรไม่ให้มันเหือดแห้ง...ก็เทมันกลับลงไปในทะเลซิ

จะตักน้ำอย่างไรจนเต็มกระบวย...ก็ถ้ามันไม่มีทางเต็มได้ ก็โยนกระบวยลงในน้ำซิ เมื่อกระบวยจม น้ำก็เต็มกระบวย

มันบ่งบอกอะไร...ก็บอกว่า การโยนตัวเองเข้าหาสิ่งที่ต้องการเรียนรู้ แทนที่จะให้การเรียนรู้วิ่งเข้าหา นั้น ไม่ได้ยากเย็นเลยหากคิดไตร่ตรองถึงวิธีการแสวงหาความรู้


เต็มใจที่จะเรียนรู้ในสิ่งที่แสวงหา
...แล้วท่านจะ ประสบความสำเร็จ

แล้วฉันเป็นใคร

ฉันไม่ใช่นักเขียน...ฉันเป็นแค่คนขี้บ่นที่พ่นความคิดเป็นตัวอักษร
ฉันไม่ใช่ศิลปิน...ฉันเป็นแค่คนที่วาดภาพได้และรู้ทฤษฎีบ้างก็เท่านั้น
ฉันไม่ใช่นักดนตรี...ฉันเป็นแค่คนหนึ่งคนที่ฟังทำนองแล้วรื่นรมณ์
ฉันไม่ใช่นักกีฬา...ฉันเป็นแค่คนที่ออกกำลังกายจริงจังอยู่พักใหญ่ๆ
ฉันไม่ใช่นักวิชาการ...ฉันเป็นแค่คนที่ชอบ ที่จะได้อ่านหลักการบางอย่างก็แค่นั้น
ฉันไม่ใช่นักปราชญ์...ฉันเป็นแค่คนที่เห็นความจริงบางอย่างในถ้อยคำเหล่านั้น
ฉันไม่ใช่นักธุรกิจ...ฉันเป็นแค่คนที่ทำทุกอย่างสนองต่อมสุนทรีย์ของตัวเองเท่านั้น
ฉันไม่ใช่นักรบ...ฉันเป็นแค่คนที่รักษาพื้นที่ของตัวเองอย่างแข็งขัน
ฉันไม่ใช่ครูหรืออาจารย์...ฉันแค่อยากบอกในสิ่งที่ได้รู้มา ที่ถูกถ่ายทอดมา
ฉันไม่ใช่ลูกศิษย์...ฉันเป็นแค่คนที่พานพบความรู้ต่างๆทั้งที่จงใจและบังเอิญ

แล้วฉันเป็นใคร...

ฉันป็นแค่คนๆหนึ่งในหลายพันล้านคน
ฉันเป็นแค่ จุดสีเล็กๆในผืนผ้าใบผืนใหญ่
ฉันเป็นแค่อณูเล็กๆอณูหนึ่งของจักรวาล
ฉันเป็นแค่ คนที่มีภาระต่อกรรมที่ทำมาและที่ติดตัวมา

แล้วในท้ายที่สุด...

ฉันก็จะได้กลับไปอยู่ในที่ๆทุกคนต้องอยู่
กลับคืนสู่ธรรมชาติในรูปแบบใดรูปแบบหนึ่ง
กลับคืนไปเป็นส่วนเล็กๆส่วนหนึ่งของทั้งหมดอีกครั้ง

นั่นล่ะที่ฉันเป็น...

แค่ภาชนะบรรจุพลังงานชีวิต
แค่ภาชนะบรรจุกระบวนการแห่งชีวิต ความคิด และการกระทำ

เวลาเราตาย เราไม่ได้หายไปไหนหรอก...แค่เปลี่ยนสถานะ และถูกทดแทนด้วยคนรุ่นต่อไป แล้วเราก็ถูกลืมเลือน ไม่อย่างนั้นฉันก็ต้องรู้แล้วว่า ต้นทางสายพันธุ์คนแรกของฉัน เป็นใคร เขาเคยผ่านยุคหิน หรือยุคน้ำแข็งไหม ไม่แน่นะ ฉันกับอีกหลายๆคนที่ไม่เคยเจอหน้าหรือรู้จักกัน และไม่มีวันได้เจอในช่วงชีวิตที่มีลมหายใจอาจจะกลายเป็นเครือญาติแห่งต้นทางสายพันธุ์เดียวกันก็ได้

ไม่แน่นะคุณกับฉัน เราอาจเป็นญาติกันแต่รุ่นบรรพกาลก็เป็นได้ ใครจะรู้...

นั่นซินะ...ใครจะรู้ ก็ถ้าไม่มีเราที่ชอบเรียกตัวเองว่า สัตว์ประเสริฐ จะมีผู้สร้างเราได้ยังไง เพราะมีเรา ถึงยังมีคนที่เอ่ยนามหรือชื่อของอะไรก็ตามที่เรานับถือศรัทธา ยึดเหนี่ยวสิ่งที่เรียกว่าจิตใจอยู่จนบัดนี้ ก็เพราะแบคทีเรีย หรือไวรัส ไม่มีสิ่งที่เรียกว่าศรัทธา หรือความเชื่อน่ะซิ เพราะสิ่งมีชีวิต ที่เราชอบเรียกมันว่า เดรัจฉาน ไม่มีสิ่งเหล่านี้นะซิ เราถึงได้ชอบที่จะสมมติ ให้ตัวเองเป็นแบบนั้น อย่างนี้ แล้วสุดท้าย ก็เหยียบย่ำทับถม ข้ามศพกันไปเพื่อให้ตัวเองบรรลุแก่อำนาจแห่งกิเลสนรก สันดานดิบ ที่เมื่อถึงจุดนึง ทุกผู้ก็ระเบิดมันออกมาเยี่ยง เดรัจฉาน ก็มิปาน แล้วยังกล้าเรียกตัวเองว่า สัตว์ประเสริฐ อยู่อีกเหรอ

หลอกตัวเองชัดๆ...

และก็อาจเป็นฉันด้วย ที่หลงทางอยู่ในวังวนความคิดพวกนี้ ที่ตามหลอกหลอนฉันอยู่อย่างนี้ นี่ฉันก็หลอกตัวเองอยู่เหมือนกันใช่ไหม เพิ่มความสับสนให้ตัวเองด้วยการเขียนความสับสน ให้ยิ่งสับสน...

ก็ฉันเป็นหนึ่งในสายพันธุ์ของสัตว์ประเสริฐ เหมือนกัน ฉันจะดีกว่าใครได้ยังไง














โปรดใช้วิจารณญาณในการอ่านด้วยนะครับ ถ้ามันไม่สมควรไปวิ่งวนเวียนในหัวสมอง
ในความคิดของท่าน จงตัดมันทิ้งไป ข้าพเจ้าไม่ได้มีเจตนาครอบงำ
หรือลบหลู่ใครแต่ประการใดทั้งสิ้น ท่านเลือกได้ เลือกได้เสมอในทุกสิ่ง

ไม่มีหรอก คำว่า ไม่มีทางเลือก เพียงแต่ทางเลือกเหล่านั้น
มักถูกเคลือบไว้ด้วยสัญชาตญาณที่เรียกว่า เอาตัวรอด อยู่เสมอๆ

ความห่าง...

วามห่าง...
เป็นคำที่บ่งบองถึงระยะทางระหว่าง 2 สิ่ง

ความห่าง...
บางครั้งทำใครต่อใคร รู้สึกเปล่าเปลี่ยว

ความห่าง...
ด้วยระยะทางตามหลักคณิตศาสตร์
ยังสามารถเดินทางไปเพื่อพบเจอกันได้
แม้ต้องใช้เวลาเข้ามาเป็นตัวแปรแห่งการพบเจอนั้น

แต่...ความห่างด้วยระยะทางของใจ
แม้อยู่ใกล้จนตัวแทบจะติดกัน
ก็ไม่สามารถรับรู้ถึงระยะของความห่างนั้นได้

"เวลาที่อยู่กับใคร อย่าเอาใจไปไว้ที่อื่นนะ..."

เวลาที่อยู่ห่างกันไป ส่งใจคิดถวิลหากันบ่อยๆนะ
แม้ว่าบางครั้งมันจะทำให้เรารู้สึกเคว้งคว้างไปบ้าง
เหงาหงอย เศร้าซึมไปบ้าง ก็ตามที

แต่มันอาจทำให้เรารู้ว่า เรา รักเขา...คิดถึงเขา...เสน่หาเขา มากเพียงใด

ห่างกันเพื่อพบว่า...วันนึงเมื่อเราย้อนกลับมาพบเจอ
เราจะยังคงเดิมต่อกันและกันไหม...

เพราะจริงๆแล้ว
คนเรามักปรับเปลี่ยนตามสภาพแวดล้อม
แต่ใจคนเรามักเปลี่ยนแปลงเพราะ ความไม่มั่นคง...



ปรับเปลี่ยน กับ เปลี่ยนแปลง
ระดับ ความเปลี่ยนไป ต่างกันแค่
คงความเป็นตัวเราไว้แต่เปลี่ยนวิธีการดำเนินชีวิต
กับ เปลี่ยงแปลงตัวเองทั้งหมด
โดยสูญเสียความเป็นตัวเราไปตลอดกาล

๑ ชีวิต เท่ากับ ๑ อาณาจักรอันไพศาล

คยถามตัวเองบ้างไหมว่า...การศึกษา คืออะไร ทำไมเราต้องไปสถาบันที่สอนวิชาต่างๆทำไมเราต้องสอบแข่งขันเพื่อให้ได้คะแนนที่ดีกว่าทำไมเราต้องดิ้นรนเพื่อการศึกษา เพื่อให้สอบได้และมีงานทำเท่านั้นเองหรือ...นั่นเป็นทุกสิ่งในชีวิตแล้วหรือ

ชีวิต ไม่ได้มีแค่นั้นแน่นอน ชีวิต เป็นความลึกลับอันยิ่งใหญ่

1 ชีวิต เท่ากับ 1 อาณาจักรอันไพศาล ที่ตัวเราได้ครอบครองเป็นเจ้าของอาณาจักรของเราเอง

การศึกษาจะไม่มีความหมายเลยหากมันไม่ได้ช่วยให้เราเข้าใจถึงความกว้างใหญ่ของอาณาจักรแห่งชีวิตนั้น...ซึ่งมีความงามความละเอียดอ่อน และอีกหลายอย่าง
เราอาจได้รับปริญญา มีตัวย่อ นำหน้าชื่อมากมายมีอาชีพที่ดี แต่มันจะมีความหมายอะไรหากจิตใจของเราขุ่นมัว และเต็มไปด้วยความคิดที่น่ารังเกียจซึ่งการศึกษาคงไม่ได้มีวัตถุประสงค์อย่างนั้นแน่นอนการศึกษาที่แท้จริงนั้น เพื่อให้เรารู้จักตัวเองเข้าใจในศักยภาพของตัวเอง เข้าใจจิตใจของตัวเองได้เป็นอย่างดีหรืออาจถึงขั้นลึกซึ้ง...ในแบบของเราเอง

ไม่ใช่ศึกษาเพื่อให้ทุกคนออกมาเหมือนกันมนุษย์ไม่เหมือนเครื่องจักร ไม่มีใครเหมือนใครการที่เรามัวแต่คล้อยตามสังคมนั้นทำให้ตัวเรากลายเป็นเครื่องจักร ที่ถูกควบคุมและครอบงำไร้ซึ่งความเป็นตัวของตัวเอง...และทำให้ในที่สุดความเป็นตัวตนของเราก็หายไป และนั่นหมายถึงการมีชีวิตที่แท้จริงนอกเหนือจากแค่หัวใจยังเต้นอยู่ได้ยุติลง

คนเรายิ่งศึกษา และยิ่งมีความรู้มากเท่าไหร่จำเป็นที่จะต้องเรียนรู้ถึงความละเอียดอ่อนในจิตใจควบคู่กันไปด้วย อย่าหลอกตัวเองเพียงเพราะเรารู้สึกว่าเราเรียนมามากกว่าคนอื่น ทั้งๆที่ตัวเราเองไม่เคยเรียนรู้ถึงตัวตนของตัวเองเลยแม้แต่น้อย

เข้าใจอาณาจักรของตนเองในทุกอณูพื้นที่ให้ได้ซะก่อนก่อนที่จะพยายามข้ามผ่านเข้าไปยังอาณาจักรของผู้อื่น

พระนักบวชของทิเบตรุปนึง กล่าวไว้ว่า

การรู้จักผู้อื่น เขาเรียกว่า คนฉลาด
แต่การรู้จักตนเองนั้น เขาเรียก รู้แจ้ง



ยังไม่รู้จักตัวเอง
อย่าได้คิดพยายามเข้าใจผู้อื่นเลย

พ้นภาษา

สิ่งที่ฉันบันทึกไม่ใช่เรื่องที่น่าสนใจสำหรับผู้ที่มองสิ่งรอบตัวมากกว่าวิถีของตัวเอง ดึงทุกอย่างรอบๆกายเข้าหาจุดศูนย์กลางคือตัวเราเอง แต่กับฉันที่มองจากตัวเอง ออกไปหาสิ่งรอบตัว อาจดูเหมือนเป็นคนมีอีโก้มากมาย แต่ข้อความทั้งหลายในโลกนี้ ตัวอักษรในหนังสือเป็นล้านๆเล่ม ในบันทึกเป็นล้านๆข้อความ ที่แสวงหาความหมายของอะไรสักอย่าง ต่างมีข้อเด่นข้อด้อยของมันเอง และเราทำได้แค่ซึมซับส่วนดีและเรียนรู้เท่าทันส่วนไม่ดีไว้จากสิ่งที่เรียกว่าความคิดของมนุษย์ เพราะแม้แต่ความคิดของฆาตกร ก็ต้องมีจุดที่น่าสนใจและให้ค้นหาคำตอบว่าเหตุใดเขาจึงกลายเป็นฆาตกร...แต่ไม่ใช่เพื่อทำให้เรากลายเป็นฆาตกรซะเอง

ทุกอย่างที่เรียกว่าความคิดเห็นย่อมมีเรื่องให้ถกกันเสมอ แต่หากการถกกัน ขาดการรับฟังที่ดีแล้ว มันก็กลายเป็นการเถียงกัน แล้วทุกอย่างก็หาข้อยุติได้ยากเย็นยิ่ง ความรู้ความเข้าใจในอีกสภาวะนึงจึงมีบทบาทควบคู่ไปกับทฤษฎีที่เขียนผ่านอักษรและพล่ามพูดด้วยถ้อยคำ สภาวะนั้นเรียกว่า พ้นภาษา

ในหนังสือ เต๋าแห่งฟิสิกส์ หนึ่งในหนังสือที่ข้าพเจ้าชื่นชอบมาก ที่มีการพูดถึงทุกสิ่งของจักรวาล ด้วยหลักการของฟิสิกส์ผนวกกับปรัชญาคำพูด ที่จำเป็นต้องเข้าใจในธรรมะด้วย ทุกอย่างจึงจะกระจ่างชัด ได้พูดถึงสภาวะ พ้นภาษาไว้ ซึ่งเท่าที่ฉันได้อ่าน และจับใจความได้แค่หางอึ่งเกี่ยวกับสภาวะนี้ก็คือ
ปัจเจกชนส่วนใหญ่เชื่อว่า มีตัวตนอยู่ภายในร่างกาย
จิตใจถูกแยกออกจากร่างกายและเป็นตัวควบคุมร่างกาย
ดังนั้น ความขัดแย้งระหว่างการจงใจทำ
กับสัญชาติญาณจึงตามมา

นอกจากนั้น อารมณ์ ความเชื่อ ความสามารถ และอื่นๆ
ก็ยิ่งเป็นแรงบวกที่ทำให้เกิดความขัดแย้งเพิ่มขึ้น

จริงๆแล้วประโยคข้างต้น
ล้วนเป็นการสะท้อนให้เห็นถึงสิ่งลวงตา
ที่เกิดจากการใช้ภาษาเพื่ออธิบายความสับสนในตัวเอง
แต่แทนที่จะเข้าใจ กลับยิ่งเพิ่มข้อสงสัย
และความสับสนมากขึ้น ที่เป็นเช่นนี้ก็เพราะภาษานั่นเอง

เมื่อจิตใจถูกรบกวน ความหลากหลายของสรรพสิ่งก็เกิดขึ้น
เมื่อจิตใจสงบลง ความหลากหลายของสรรพสิ่งก็มลายหายไป

เหตุผล...คนส่วนใหญ่ต้องการเหตุผลในทุกๆเหตุการณ์
ทุกๆการกระทำ ทุกๆสิ่งที่เราเห็นหรือสัมผัส
โดยมิได้ตระหนักถึงข้อจำกัดของเหตุผลนั้นเลย
ซึ่งสุดท้ายเพียงเพื่อหาเหตุผลงี่เง่าบางอย่าง
กลับทำให้มนุษย์ ต้องขัดแย้งกัน ทะเลาะกัน ฆ่าฟันกัน

จางจื๊อ นักปราชญ์
แห่งลัทธิเต๋ากล่าวเอาไว้ว่า

"สุนัขไม่ได้เป็นสุนัขดีเพราะ มันเห่าเก่ง
คนไม่ได้เป็นคนฉลาดเพราะ พูดเก่ง
และการโต้เถียงพิสูจน์ให้เห็นความชัดเจนใดไม่ได้
มีแต่จะเพิ่มข้อโต้เถียงไปเรื่อยๆไม่สิ้นสุด"


เราจึงจำเป็นต้องหาคำตอบของเหตุผลต่างๆด้วย
สติปัญญา ไม่ใช่ คำพูดตรรกกะ เพียงเพื่อหาว่า
มันเป็นจริงหรือเท็จ แต่ต้องเข้าใจอย่างลึกซึ้ง
ต่อคำตอบของปัญหานั้น...แล้วการรู้แจ้งก็จะเกิด

การรู้แจ้ง ไม่ใช่การ ตรัสรู้ แต่เป็นการที่เราเข้าใจถึงความซับซ้อน
ในระบบความคิดคำนึงของเราเอง ซึ่งภาษาอธิบายได้ไม่หมดในสิ่งที่รู้นั้น



ดังนั้น ภาษาก็เป็นเพียงแค่ไม้เกาหลัง
ที่เราใช้มันเพียงเพื่อแก้อาการคันที่ผิวหนังเท่านั้น
มันไม่ได้ช่วยให้เรารู้เลยว่า อาการคันเกิดขึ้นจากอะไร

ยุคแห่งการใช้ความรักสิ้นเปลือง

ยุคแห่งการใช้ความรักแบบสิ้นเปลือง

หากพูดประโยคนี้กับสังคมสมัยนี้คงไม่ผิดนักที่จะบอกว่า...ความรักในแบบที่วัยรุ่นสมัยนี้ใช้กันนั้นช่างดาษดื่น...และไร้คุณค่ารวมถึงความหมายในคำว่า รัก อย่างสิ้นเชิง...

ไม่ใช่จะต่อว่า...ถึงสิทธิส่วนบุคคลที่จะใช้คำๆนี้...เพียงแต่ ในการใช้คำๆนี้นั้นมีความเข้าใจในคุณค่าของคำว่ารักมากน้อยแค่ไหน...

คนๆนึง เกิดมาและได้รัก คนอีกคนนึงตลอดช่วงชีวิต ที่มีลมหายใจกลายเป็นเรื่องล้าสมัย...รักๆเลิกๆ กลับกลายเป็นแฟชั่นที่ใครหลายคนใช้เพื่อบรรเทาสภาพจิตแห่งความเหงา...ความเศร้าซึม

รักชั่วฟ้าดินสลายกลายเป็นเรื่องน้ำเน่า แต่รักแบบมีเพศสัมพันธ์เพียงชั่วข้ามคืนกลับได้รับความนิยมมากขึ้นๆทุกที

รูปแบบของครอบครัวเด็กยุคนี้กลายสภาพเป็น ต่างคนต่างอยู่ เด็กยุคใหม่ที่เกิดขึ้นมา...มีความแปลกในนิสัย และพฤติกรรมมากขึ้นเป็นทวีคูณ...

การใช้คำว่ารัก แบบสิ้นเปลืองแบบนี้ดีแล้วเหรอ...รักที่ต้องสูญเสียคุณค่าเพียงเพราะต้องแลกด้วย อารมณ์ใคร่ดีแล้วเหรอ...เพียงเพราะ คำว่ารัก ที่ไร้ความหมาย

คุ้มแล้ว...จริงหรือ?

ฉันว่าไม่...

อย่าทำให้ความรัก กลายเป็น อาหารจานด่วนที่เปิดขายตามห้างสรรพสินค้าเลย คุณค่าของ ความรัก มีมากกว่านั้นเยอะ


แต่ก็อาจเป็นแค่ฉัน...ที่มาคิดบ้าบอ
อยู่กับเรื่องที่ใครอีกหลายคนมองว่า
มันเป็นเรื่องของคน...ตกยุค

ช่องว่างระหว่างสองโลก

คยเจอคนงี่เง่าไหม...งี่เง่าแบบสุดๆ คุณเคยเจอไหม

ตัวข้าพเจ้านั้นรับงานอิสระ ไม่ได้ทำงานประจำที่ไหน ว่างก็เขียนบล็อก สร้างงานศิลปะที่นอกเหนือจากงานที่รับมา ชีวิตไม่ได้หวือหวาโลดโผน หรือน่าตื่นเต้นอะไร

การเขียนระบายบ่นถึงเรื่องใดๆเป็นไปแค่ความรู้สึก ณ ขณะนั้น แค่เท่านั้น เมื่อจบสิ่งที่บันทึก ทุกอย่างก็หยุด...เหมือนเวลาเครียดแล้วหาทางระบาย แต่แทนที่จะใช้ความรุนแรงแบบมนุษย์ดึกดำบรรพ์ เข้าประหัดประหารกัน หรือต่อยหน้าใครสักคน ก็ใช้การเขียนและการวาดภาพเป็นเครื่องระบายแทน

แต่ความงี่เง่าของคนไม่ยอมหยุด โยงใยเรื่องราว ผูกปม สร้างเงื่อน แล้วมาหาเรื่องใส่ข้าพเจ้า ทำตัวเป็นคนเขียนบทละครชีวิตให้ข้าพเจ้าแทนที่คนบนฟ้า และตัวข้าพเจ้าเอง เขาคิดว่าเขาเป็นใคร...เขามีสิทธิ์มากำหนดบทบาทให้ข้าพเจ้า เพียงเพราะสิ่งที่ข้าพเจ้าระบายลงในโลกไซเบอร์เนี้ยนะเหรอ เขาคิดว่าเขามีหน้าที่เช่นนั้นเหรอ

ถามคำถามกับตัวข้าพเจ้าซ้ำๆในเรื่องเดิมๆ ลากคนอื่นที่ไม่เกี่ยวข้องซึ่งข้าพเจ้ารู้จัก และเขารู้แค่บุคคลเหล่านั้นข้าพเจ้ารู้จัก มาเป็นตัวแปร ในสมการเหี้ยกๆของเขา แล้วมาคาดคั้นเอาคำตอบกับข้าพเจ้า มันจะต่างอะไรกับถามวิชาตรีโกณมิติ หรือสมการฟิสิกค์ กับเด็กประถม ก็ข้าพเจ้าดำเนินชีวิตให้เรียบง่ายที่สุดเท่าที่จะเป็นไปได้ รับรู้ในสิ่งที่อยากรู้ และในสิ่งที่ไม่สมควรรับรู้ที่ได้รู้ก็เฉยเสีย แล้วจะมาเอาคำตอบกับคนที่ไม่มีอะไรเลยอย่างข้าพเจ้าได้ยังไง ข้าพเจ้าก็แค่คนธรรมดา ไม่ได้วิเศษวิโส ไม่ได้มีชื่อเสียงเกียรติยศ นามสกุลไม่ใหญ่ไม่โต ไม่มีคำนำหน้าชื่อนอกจากคำว่านาย และไม่ใช่บุคคลสาธารณะ แล้วจะทำไปเพื่ออะไร สนุกเหรอ...

เวลาข้าพเจ้าอ่านหนังสือของบุคคลที่มีชื่อเสียงที่นอกเหนือจากแนวอัตชีวประวัติของเขาเหล่านั้น ข้าพเจ้าไม่เคยคิดว่าคนเขียนนิสัยเป็นยังไง ทำดีหรือเลวในชีวิตมามากกว่ากัน สิ่งที่อ่านนั้นแค่ช่วยขยายความคิดข้าพเจ้าให้เพิ่มขึ้น แค่รับรู้แนวความคิดเท่านั้น มันไม่ได้ทำให้ข้าพเจ้ารู้จักเขาเหล่านั้นเลย และที่เหลือก็ต้องพิจารณาเอาเองว่าสิ่งที่อ่านผ่านตากับความคิดเหล่านั้น ควรจะวิ่งวนอยู่ในหัวข้าพเจ้าต่อไปไหม ควรขบคิดใส่ใจ หรือตัดมันออกไปจากสาระบบไหม และข้าพเจ้าคิดว่า ทุกๆคนทำได้และควรทำ ไม่ใช่ตะบี้ตะบันเชื่อทุกตัวอักษร โยงใยจนเกิดทฤษฎีมั่วซั่ว ไม่รู้อะไรจริงอะไรไม่จริง กลืนโลกสองใบทั้งโลกจริงและโลกเสมือนเข้าไปพร้อมกัน พยายามหลอมรวมมันเข้าเป็นใบเดียวทั้งๆที่มันเป็นไปไม่ได้

ความเป็นส่วนตัวกับสิ่งที่เผยแพร่ออกสู่สาธารณะ มันยังคงต้องมีช่องว่างนี้ไม่ใช่เหรอ แล้วเขาคิดทำอะไรอยู่ ปั้นข้าพเจ้าขึ้นมาจากตัวอักษร ให้มีตัวตนในจินตนาการทั้งๆที่ข้าพเจ้า มีตัวตนอยู่แล้วอย่างนั้นเหรอ โคลนนิ่งตัวข้าพเจ้า จากตัวอักษร ที่คอมพิวเตอร์แปลค่าจาก 0 และ 1 อย่างนั้นเหรอ ทำตัวเป็นพระเจ้าในโลกไซเบอร์ สร้างอดัมขึ้นมาในโลกแห่งนี้อย่างนั้นเหรอ

เขาคิดว่าเขาเป็นใคร...

หรือข้าพเจ้าเองที่งี่เง่า ที่มาเขียนบล็อก
หรือทั้งหมดนี้ ข้าพเจ้ากำลังฝันอยู่
หรือทั้งหมดนี้ เขากำลังฝันอยู่
หรือทุกอย่างที่เกิด เป็นแค่ความดิบหยาบในสันดานมนุษย์


...เคยเจอคนงี่เง่าแบบสุดๆบ้างไหม
...ข้าพเจ้าเจอมา

หิ่งห้อยอับแสง...แมลงไร้ปีก

หิ่งห้อยตัวน้อย...ฉายแสงระยิบระยับเกี้ยวพาราสี
เพื่อขยายเผ่าพันธุ์ของตนใต้ต้นไม้ใหญ่
นับพันนับหมื่น

แต่มีอยู่หนึ่งตัว...มันเหงาหงอยอยู่เพียงลำพัง...
ไม่ฉายแสงเกาะนิ่งไม่ไหวติง
ไม่บินโฉบเกี้ยวพา หิ่งห้อยตัวใด...

เพราะปีกของมันหักขาด
ความบอบช้ำ...นั้น ทำให้มันนอนรอ
เพียงให้วันๆนึงผ่านไป
จนกว่าจะถึงวันสุดท้ายของชีวิต
เดินส่ายไปมาพยายามกระพือปีก

แต่ทุกครั้งที่มันทำเช่นนั้น
คือทุกครั้งที่ความบอบช้ำเพิ่มมากขึ้น
ก่อนที่หิ่งห้อยตัวอื่นจะวางไข่และบินหายไป
เจ้าหิ่งห้อยผู้อับแสงก็นอนนิ่งเดียวดาย
จนวาระสุดท้ายของตัว

ความรู้สึกที่พยายามแล้ว
แต่สิ่งที่ได้กลับมาคือความเจ็บช้ำ...
บางทีมันก็ทำให้คนเราก็ไม่ต่างจาก
หิ่งห้อยที่อับแสง...แมลงที่ไร้ปีก...

...และฉันกลายเป็นหิ่งห้อยตัวนั้น

ครั้งหนึ่งนั้น

รั้งหนึ่งนั้น เคยได้รัก เคยได้เพ้อ
ถึงตัวเธอ ที่ฉันรัก ที่ฉันหลง
ทุกสิ่งอย่าง เพื่อให้รัก ได้อยู่คง
ไม่ลดลง ให้เพิ่มเติม ทุกวี่วัน

ครั้งหนึ่งนั้น เคยโอบกอด ในอ้อมแขน
ไม่ดูแคลน ได้เชิดชู ดูสดใส
แล้ววันหนึ่ง ทุกสิ่งพลัน มลายไป
เมื่อเธอหาย จากฉันไกล ไม่ใยดี

แค่คำกล่าว คำบอกลา ไม่ถึงหู
ปล่อยฉันอยู่ เพียงลำพัง ให้สับสน
จำกล้ำกลืน สถานะ ไร้ตัวตน
กลายเป็นคน ที่เคว้งคว้าง อย่างดายเดียว

ทศวรรษ แห่งรักเรา กลับไร้ค่า
เพียงเพราะว่า ในใจเธอ หมดรักฉัน
แต่ฉันว่า คนเรานั้น เลิกร้างกัน
ใช่หมดรัก หรือเปลี่ยนผัน ไปแห่งใด

เพราะไม่รัก ตั้งแต่เริ่ม เดิมคบหา
ใช่หมดรัก แล้วจึงลา พาห่างหาย
ไม่ได้รัก แต่แรกพบ ด้วยหัวใจ
แค่เพียงบอก รักส่งไป ไม่จริงจัง

หากฉันเป็น คนที่เธอ รักไม่ได้
ก็ไม่ขอ เป็นอะไร เลยดีกว่า
เก็บใจเธอ ไว้ให้ใคร ที่เธอหา
ที่เธอว่า คนนั้นใช่ ได้ใจเธอ

ทิ้งฉันไว้ ในความเหงา เศร้าทรวงอก
แม้นสะทก สะท้านเหลือ จะทนฝืน
ปล่อยให้ฉัน จำจมดิ่ง ความกล้ำกลืน
อย่ามาสน ทำเป็นชื่น เช่นเพื่อนกัน

รับไม่ได้ เพราะฉันเริ่ม ด้วยความรัก
ใช่เพื่อนรัก ที่ทักทาย คลายสงสัย
แต่เธอเป็น ดังคนรัก ไม่ห่างกาย
ให้เคลื่อนคล้าย กลายเป็นอื่น นั้นเกินทน

เมื่อไม่รัก ไม่จำเป็น ต้องถนอม
ให้ยิ่งตรอม ให้ยิ่งตรม ที่เปลี่ยนผัน
ตัดใจเลย อย่าใช่คำ ว่าเพื่อนกัน
ไม่มีวัน ที่ถดถอย คล้อยตามเธอ

ให้เธอได้ คนที่เธอ คิดว่าใช่
อย่าหักหาญ ด้วยน้ำใจ เช่นกับฉัน
หากเธอคิด จะใช้รัก เปลืองไปวัน
อีกไม่นาน คงจบกัน ดังผ่านมา

จะรักใคร รักให้แน่ อย่าแชเชือน
อย่าใช้คำ กลายเป็นเพื่อน เลือนสัมพันธ์
จะรักใคร รักให้แน่ อย่าแปรผัน
ใช่ใช้คำ ว่าเพื่อนกัน แล้วจากลา

อวยพรให้ เธอได้เจอ ใครคนนั้น
ที่รักกัน ด้วยจริงจัง ไม่กังขา
ไม่พบพาน อย่าได้เจอ การเลิกลา
เจอรักแท้ ที่ค้นหา พาสุขใจ


คนเราเลิกกัน ไม่ใช่เพราะหมดรัก
แต่ไม่ได้รักตั้งแต่แรกเริ่มแล้วต่างหาก

ไร้สถานะในใจเธอมาเกือบครบ 4 ปีแล้วนะ
ป่านนี้เธอคงอยู่ในอ้อมแขนของใครที่ไม่ใช่ฉัน
... ไม่ใช่ฉันอีกต่อไป

น้ำตาแห่งความเสียใจหมดไปนานแล้ว
เหลือก็แค่ความทรงจำช้ำใจ
ที่ยังเป็นรอยฝังแน่นอยู่ในภาชนะบรรจุอดีต
...ก็เท่านั้น

ปรัชญาของผม...ผิด

มีคนบอกว่าปรัชญากับสิ่งที่ผมเขียนผิด ผมอยากบอกว่าหากขณะที่ท่านเห็นว่าปรัชญาของ ซิกมันด์ ฟรอยด์ ถูก ในขณะที่ผมกำลังอ่านปรัชญาของ ขงจื้อ แล้วล่ะก็คุณกับผมอยู่คนละโลกแล้วล่ะ และไม่ว่าโลกใครจะกลมหรือแบน ผมว่าการตัดสินแบบด่วนสรุปนั้นเป็นการไม่เข้าท่า

เพราะหากปรัชญากับสิ่งที่ผมเขียนผิด ถ้าเป็นเช่นนั้น ท่านขงจื้อ ก็ผิด เพราะผมอ่านงานท่านขณะที่เขียนบทความต่างๆ ถ้าเป็นเช่นนั้น ซิกมันด์ ฟรอยด์ ก็ผิดเพราะผมไม่อ่านงานของเขาในตอนที่เขียนบทความต่างๆ

มันก็แค่ ภาวะยุ่งเหยิงทางปรัชญา (philosophy chaos) แค่นั้นเอง ปรัชญามันก็แค่ที่ทำได้ กับที่เป็นอุดมคติแล้วจะมาบอกว่าใครถูกใครผิดนั้นไม่ใจแคบไปหน่อยเหรอ...

การกระทำอันหนึ่งถูกต้องเพียงเพราะเราชอบแค่นั้นเองเหรอ งั้นสิ่งที่คนเขียน 100 คน 100 เรื่อง ก็ต้องถูก 1 ในร้อย ในเรื่องที่ตนเขียนน่ะซิ...เพราะคนเขียนก็ชอบงานเขียนของตัวเอง และที่เหลืออีก 99 เรื่อง ผิดเพราะเราไม่ได้เขียน และเราไม่ชอบมัน อย่างนั้นเหรอ

ใจกว้างหน่อยซิ...

รักษา รัก

รักหล่อเลี้ยง ดวงฤทัย ให้ชุ่มชื่น
รักทำให้ ตัวเราตื่น จากฝันร้าย
รักใช่เพียง แค่มีคน ที่ข้างกาย
แต่รักต้อง ให้หัวใจ ใกล้ชิดกัน

สองเป็นหนึ่ง เฝ้าอิงแอบ แนบชิดใกล้
รวมดวงใจ เฝ้าดูแล อย่างแข็งขัน
คอยถนอม ซึ่งความรัก กันและกัน
ไม่แปรผัน กลายเป็นรัก มิรู้ลืม

ใจสองใจ ต่างที่ ต่างทางมา
ลิขิตพา ให้มาคบ พบกันได้
เฝ้าเพียรถาม เฝ้าคอยบอก รักหมดใจ
อย่าให้ใคร ต้องหมางเมิน เกินทานทน

ความรู้สึก อารมณ์รัก นั้นบางเปราะ
เพียงกระเทาะ อาจแตกหัก เกินประสาน
จงดูแล รักษา รัก ให้เนิ่นนาน
ใช่คอยผลาญ อารมณ์ใจ มิใยดี

ฤดูหนาว

ฤดูกาล แห่งความหนาว ก้าวมาเยือน
ฤดูเหงา ตามคล้อยเคลื่อน ให้สับสน
ฤดูใจ ถวิลหา ใครสักคน
คอยปลอบโยน ให้หัวใจ ยามสิ้นแรง

สายลมหนาว พาดพัดผ่าน กายหนาวสั่น
ฤทัยพลัน ถึงทอดถอน ให้อ่อนไหว
หนาวทั้งกาย ลึกถึงทรวง ทุกห้วงใจ
แลหาใคร เคียงข้างกาย คลายทุกข์ตรม

อุ่นใดเล่า เท่าอุ่นกาย ได้ใกล้ชิด
แนบดวงจิต ชิดใกล้ ไม่ห่างหาย
อุ่นใดเล่า จะเทียบเท่า กายห่มกาย
อุ่นมิคลาย ใต้จันทรา ฟ้ากว้างไกล

หากตอนนี้ มีเพียงเธอ อยู่แนบชิด
แม้นความคิด ที่สับสน คงพ้นหาย
ในอ้อมกอด มีเพียงเธอ คงผ่อนคลาย
หยุดเวลา ความเหงาใจ หยุดแค่เรา

มือสัมผัส ความอบอุ่น ละมุนรัก
ตาประจักษ์ ความลึกซึ้ง สื่อความหมาย
สองแขนโอบ เคล้าคลอ พนอกาย
สองจิตใจ เพ้อพันผูก เป็นหนึ่งเดียว

อยากเป็นดาว กะพริบพราว บนฟากฟ้า
เคียงจันทรา แสงนวลผ่อง ให้ต้องเหลียว
ให้รู้ว่า อยู่เคียงเธอ ไม่โดดเดี่ยว
คงไม่เปลี่ยว เพราะระยิบระยับตาม

หากแต่เพียง หนาวนี้ ไม่มีรัก
ให้ประจักษ์ ถึงวาจา ได้ว่าหวาน
ไม่พบพาน ซึ่งความรัก แสนเนิ่นนาน
ไม่พบพาน ความลึกซึ้ง ให้ตรึงใจ

จำต้องอยู่ เพียงลำพัง กับลมหนาว
จำต้องกลาย เป็นดวงดาวที่อับแสง
จำต้องฝืน จำอดทน แม้อ่อนแรง
จำสิ้นแสง ร่วงหล่นลง บนผืนดิน

กลายเป็นเศษ ผงธุลี ที่ไร้ค่า
แหงนมองฟ้า หาแสงจันทร์ ให้ส่องฉาย
แต่ตอนนี้ กลายเป็นดิน สิ้นแสงไป
ดวงหทัย ให้เศร้าหมอง ตรอมทุกข์ตรม

ฤดูฝน

ยามสายฝน ลงปรายโปรย โรยร่วงมา
ประหนึ่งว่า หยดน้ำตา ฉันรินใหล
เสียงหยาดฝน กระทบร้าว ถึงทรวงใน
ให้สั่นไหว โหยและหา อุราตรอม

ฝนยามเช้า ดูช่างเหงา แลเศร้าจิต
ให้นึกคิด ถึงคนไกล ใจห่วงหา
กลัวคนดี ที่อยู่ไกล และห่างตา
จะร้างลา หายห่างไป มิใยดี

ฝนยามบ่าย ดับไอร้อน เพียงผ่อนตัว
แต่ในขั่ว หัวใจหม่น ฤทัยหมอง
มองรอบกาย ไร้เธออยู่ ให้สมปอง
ไร้ทำนอง รักขับขาน ให้ชื่นใจ

ฝนยามค่ำ ซ้ำลมพัด กัดฟันหนาว
มิเห็นจันทร์ ดาราพราว ที่ส่องแสง
ความมืดมิด ปกคลุมใจ จนอ่อนแรง
พาใจแล้ง แห้งระโรย ระรินลาน

หรือฟ้ารู้ ว่าฉันอยู่ เพียงดายเดียว
ให้ฝนหลั่ง ลงมาเหลียว แลมองหา
ร้องไห้แทน ที่ตัวฉัน เหงาอุรา
ร่ายฝนมา ช่วยโลมล้าง ให้รื่นใจ

สายฝนพรำ ทำให้คิด ถวิลหา
ถ้อยคำพา ทำนองกลอน ร่อนขับขาน
ให้เสียงใจ ดังถึงสรวง ชั้นวิมาน
ไปบอกเล่า และกล่าวขาน ให้ถึงเธอ

ฤดูร้อน

ฤดูร้อน แล้งทั้งกาย และใจจิต
แสงอาทิตย์ สาดส่อง หามองเห็น
ความเงียบเหงา ความเดียวดาย ช่างคล้ายเป็น
เปรียบดังเช่น ความรักแล้ง แห้งเฉาตาย

เสียงนกร้อง ก้องฟ้ากู่ ดูสดใส
แต่ดวงใจ กลับห่อเหี่ยว เพราะเปลี่ยวเหงา
วันคืนผ่าน เปลี่ยนพ้นไป ใจยังเศร้า
ให้แผดเผา ฤทัยหมอง ต้องเดียวดาย

หากตอนนี้ ได้มีเธอ เคียงคู่คิด
แนบดวงจิต ชิดใกล้ ไม่ห่างหาย
คงเหมือนดั่ง สายธารโถม ชโลมใจ
ดุจฟ้าใหม่ ดูสดใส สว่างตา

แต่แม้นมอง ไปหนใด ไร้คนรัก
ให้ประจักษ์ แก่ฤทัย คลายหมองเศร้า
อยู่แค่เพียง แค่ตัวเรา เราและเรา
ให้เงียบเหงา เฉาตาย ใต้ฟ้าเอย

ประตูสวรรค์บานสุดท้าย...

"ที่นี่ที่ไหน...ทำไมมืดจัง...ฉันมองอะไรไม่เห็นเลย"
แว่วเสียงในห้วงคิดของชายหนุ่ม ผมเผ้ารุงรัง เนื้อตัวมอมแมมไปด้วยสี ถามตัวเองอย่างประหลาดใจ หลังจากที่ตื่นจากการหลับใหลเพราะความเมา เหตุจากเมื่อคืน เขาออกไปซื้อสุรามาดื่มเพียงเดียวดายในห้องพักขนาดเล็ก ของอพาร์ตเม้นต์แห่งนึงย่านชานเมือง

"มันเกิดอะไรขึ้น...ทำไมฉันมองไม่เห็น"
ชายหนุ่มวัย 29 ยังคงรำพึงรำพันกับตัวเองในความมืดนั้นด้วยความประหลาดใจ เขาเป็นจิตรกรไส้แห้ง ที่ขายงานไม่ออก ถังแตก และเบื่อหน่ายชีวิต กับอาการที่เกิดขึ้น ณ ตอนนี้ ดวงตาเขาบอดสนิทซะแล้ว

"ตาฉัน...ตาฉันมองไม่เห็น...เป็นไปได้ยังงัย"
ชายหนุ่มตะโกนออกมาแบบลืมตัว ร้องไห้โฮจนแทบเสียสติที่รู้ตัวว่าดวงตาทั้งสองของเขานั้นมองไม่เห็นอีกต่อไป ไม่นานนัก มีเสียงฝีเท้าวิ่งมาที่หน้าประตูห้อง เคาะประตูเสียงดังเหมือนจะพังมันออกเป็นเสี่ยงๆ

"พี่ชาติ...พี่เป็นอะไรน่ะ พี่ชาติ" เสียงเด็กหนุ่มวัยรุ่นร้องเรียก พร้อมกับเคาะประตูครั้งแล้วครั้งเล่า อย่างตื่นตระหนก

ภายในห้อง ชาติจิตรกรหนุ่มยังคงตั้งสติไม่ได้กับการที่เขาต้องสูญเสียการมองเห็นไป ในหัวสมองตอนนี้ มีแต่ความคิดวกวนซ้ำไปซ้ำมาว่า หลังจากนี้จะทำอย่างไร เขาจะสร้างสรรงานศิลปะที่เขารักได้อย่างไร เหมือนทุกอย่างพังทลายลงในพริบตา

เด็กหนุ่มที่ตะโกนเรียกอยู่อีกฟากของประตูห้องอดรนทนต่อไปไม่ไหว เขาพังประตูที่ก็ไม่ได้แข็งแรงมากนัก เข้ามาในห้อง ภาพแรกที่เด็กหนุ่มเห็นคือ ภาพของชายคนที่เขานับถือเหมือนพี่ชายนั่งกองอยู่กับพื้นห้อง ที่เต็มไปด้วยข้าวของหล่นแตกกระจายเกลื่อนพื้น กับถังสีล้มเทระเนระนาดจนเนื้อสีไหลเปรอะเต็มห้อง เขาวิ่งเข้าไปประคองร่างและเขย่าให้ ชาติได้รู้สึกตัวเรียกสติกลับมา เพื่อไต่ถามเรื่องราว

"พี่ชาติ...พี่ชาติ...เกิดอะไรขึ้นพี่ ทำไมเป็นแบบนี้"
"นพ...นพเหรอ... ไอ้นพ ตาพี่มองไม่เห็นแล้ว"
ชาติตั้งสติตอบกลับหลังจากที่รู้ว่าใครเป็นเจ้าของเสียงที่ถามนั้น ด้วยตัวที่สั่นเทา น้ำตานองหน้า และเสียงสะอื้นเหมือนเด็กที่โดนแย่งของเล่นไปจากมือ

"เป็นไปได้งัยอ่ะพี่...ไปหาหมอกันดีกว่า...นะพี่ชาติ นะ"
"หมดสิ้นแล้ว...กูหมดสิ้นแล้ว...หมดทุกอย่าง"
ชาติตะโกนสุดเสียงปริ่มจะขาดใจตาย เพ้อจนไม่ได้ศัพท์ ร่างกายอ่อนยวบกองอยู่อย่างนั้น จน นพ ต้องหามออกไปข้างนอกเพื่อพาไปยังคลีนิคที่ใกล้ที่สุด

นพ เป็นนักศึกษามหาวิทยาลัย เขาเรียนด้านศิลปะเช่นกัน เขาพักที่เดียวกับ ชาติ และได้รู้จักกันโดยบังเอิญผ่านงานศิลปะ ทั้งสองคุยเข้าขากันได้อย่างดีด้วยทัศนะคติที่มีต่อการสร้างสรรงานที่เหมือนกัน ทั้งๆที่ ชาติ เป็นคนไม่ค่อยสุงสิงกับใครที่พักอยู่ในอพาร์ตเม้นต์แห่งนั้น ในวันว่าง นพมักจะคลุกตัวเองอยู่ในห้องของ ชาติ ชื่นชมงานศิลปะที่ขายไม่ออกอย่างเทิดทูน งานของ นพ จึงได้อิทธิพล และแนวทาง ในแบบเดียวกับ ชาติแทบไม่ผิดเพี้ยน แต่ก็ยังคงปนเปกับรูปแบบของตนเองอยู่

หลังจากกลับจากคลีนิค นพ พาชาติกลับมาถึงห้องพัก กับคำตอบที่ยังไม่ยืนยันของแพทย์ประจำคลีนิคที่เครื่องมือไม่เพียบพร้อม ว่า จำเป็นต้องส่งตัวไปที่โรงพยาบาลในตัวเมือง ซึ่งจะสามารถตรวจได้ละเอียดกว่า แต่จำเป็นต้องรอวันนัดหมายอีกครั้ง
เมื่อเข้าไปในห้อง ชาติยังคงเงียบกริบ ไม่พูดไม่จาใดๆ เหมือนหมดอาลัยตายอยาก นพยังคงชวนคุยไม่ห่างแม้จะไม่ได้รับคำตอบใดๆจากชายหนุ่มที่ตอนนี้เหมือนผีดิบไร้วิญญาณไปซะแล้ว
เวลาผ่านไปหลายชั่วโมง ปฏิกิริยาตอบสนองเริ่มส่งสัญญาณจากตัวชาติ เขาเอ่ยปากกับนพว่า
"นพ ไอ้น้องรัก ยังมีภาพที่พี่เคยคิดวาดในความทรงจำ หลังจากนี้พี่คงวาดมันขึ้นมาไม่ได้อีกแล้ว พี่ขออะไรอย่างได้ไหม"
"พี่ชาติ พี่อย่าเพิ่งคิดมากไปเลย ถ้าได้ไปตรวจที่โรงพยาบาลแล้ว พี่อาจไม่เป็นอะไรก็ได้นะ อย่าเพิ่งด่วนสรุปอะไรเลยพี่"
"นพ แกตอบมาก่อนดีกว่า ว่าแกจะทำสิ่งที่พี่ขอได้ไหม"
"ได้ซิพี่ พี่อยากได้อะไรเหรอ"
"แกช่วยวาดรูปนั้นให้พี่ทีได้ไหม"
"เฮ้ย...พี่ จะเป็นไปได้ยังไง ภาพในจินตนาการของพี่ แต่พี่จะให้ผมวาดเนี้ยนะ จะไหวเหรอ"
"ไอ้นพ แกรับปากพี่แล้วนะ"
"โธ่พี่...มันเป็นไปไม่ได้หรอก แล้วจะออกมาในแบบที่พี่ต้องการได้ยังไง"
"แกแค่วาดตามที่พี่บอกก็พอ แกทำได้มั้ย ถือว่าพี่ขอร้องล่ะ"


หลังจากนิ่งไปครู่ใหญ่ นพก็ตอบตกลง แล้วก็จัดแจงตั้งกระดานที่ขึงผ้าใบสีขาว บนขาหยั่งที่ใช้วาดรูป เตรียมสีที่ยังเหลือจากที่หกเลอะอยู่ทั่วห้อง เท่าที่มี แล้วล้างพู่กันรอท่าไว้ ชาติ เริ่มพูดถึงภาพในจินตนาการที่ฝังแน่นในหัว ภาพที่เขาอยากวาด แต่ไม่เคยสำเร็จ บัดนี้มันจำเป็นต้องถูกวาดโดยมือคนอื่น แทนที่จะวาดด้วยมือตัวเอง นพนั่งฟังอย่างตั้งใจ พร้อมๆกับที่มือวาดรูปตามคำบอกของคนที่เขานับถือเหมือนเป็นต้นแบบเป็นแรงบัลดาลใจของเขา

เมื่อคำพูดสุดท้ายแห่งจินตภาพจบลง นพก็วางพู่กันลงข้างตัว สิ่งที่เขาเห็นหลังจากฝีแปรงสุดท้ายได้ตวัดบนผืนผ้าใบ ทำให้เขาถึงกับตะลึงงันนั่งนิ่งไม่ไหวติงเป็นรูปปั้นอยู่เป็นนานสองนาน

"นพ...รูปนี้พี่ให้แก...พี่เหนื่อยแล้ว...อยากพัก"
"เฮ้ย...เดี๋ยวพี่ เมื่อกี๊ว่าไงนะ...ให้ผม...เหรอ"
"ก็แกเป็นคนวาด มันก็ต้องเป็นของแกซิ"
"แล้วผมจะทำยังไงกับมันล่ะ..."
"นั่นมันแล้วแต่แก พี่ได้ทำในสิ่งที่อยากทำแล้ว"


ร่างของชาติ เอนกายทอดยาวลงบนเตียง นอนนิ่งไปอย่างเหนื่อยอ่อน นพ เดินออกจากห้องไปพร้อมรูปที่สียังไม่แห้งดีเพราะเพิ่งวาดเสร็จหมาดๆ กับความรู้สึกที่แม้จะไม่ได้จับจ้องที่รูปภาพบนผืนผ้าใบนั้น แต่มันชัดเจนติดตา จนไม่อาจลืมได้
เช้าวันต่อมา นพเดินไปยังห้องของชาติตามปกติ เพื่อดูว่า พี่ชายที่นับถือนั้นจะกินอะไรในตอนเช้านี้ เขาเปิดประตูเข้าไปในห้องยังคงเห็นชายหนุ่มที่เขานับถือ นอนทอดกายนิ่งอยู่บนเตียง จะมีที่ผิดปกติไปคือ ในมือของชายผู้นั้น กำอะไรบางอย่างไว้ เขาเดินเข้าไปใกล้เพื่อถามไถ่ แต่ภาพที่เห็นกลับเป็นชายหนุ่มใบหน้าซีดเผือก ดวงตาสองข้างเบิกโพลงกับรอยยิ้มเปื้อนหน้าอย่างมีความสุข บัดนี้ ชาติ ได้จบชีวิตตัวเองลงซะแล้ว แต่เหตุใดเขาจึงดูมีความสุขมากมายขนาดนั้น ชั่วขณะนึงในความคิดของนพ ภาพที่เขาวาดจากจินตนาการของผู้ที่นอนนิ่งอยู่บนเตียงนั้นก็ลอยผ่านเข้ามาในหัวน้ำตาของนพใหลออกมาอย่างไม่รู้ตัว พร้อมกับคำเอ่ยที่หลุดออกมาจากปากว่า

"พี่คงไปถึงแล้วซินะ..." เขายิ้มทั้งๆที่น้ำตานองหน้า

ภาพนั้น คือภาพของชายคนนึงก้าวขึ้นบันไดไปสู่ประตูที่มีแสงสว่างเจิดจ้า เหลืองอร่าม ทิวทัศน์แห่งเมฆหมอกรายล้อมคนในภาพที่เดินไปยังประตูนั้น จนดูเหมือนทุกอย่างเบาหวิวล่องลอยอยู่ในอากาศ และเขาตั้งชื่อภาพนี้ว่า 'ประตูสวรรค์บานสุดท้าย'



"......."
"ที่นี่ที่ไหน...ทำไมมืดจัง...ฉันมองอะไรไม่เห็นเลย"
"มันเกิดอะไรขึ้น...ทำไมฉันมองไม่เห็น"


ชายหนุ่มสะดุ้งสุดตัวลุกจากที่นอน มองไปยังผ้าใบที่วางบนขาหยั่งตรงปลายเตียง ชายในภาพวาดที่กำลังเดินก้าวขึ้นบันไดสู่ประตูที่มีแสงสว่างเจิดจ้า ชาติขยี้ตาอย่างเร็ว และเพ่งไปยังชายในภาพนั้น ซึ่งหันมองเขาอยู่เช่นกัน

"นพ...!" ชาติบ่นพึมพำกับตัวเองจนเสียงแทบจะเป็นแค่เสียงกระซิบ

วันนี้เป็นวันที่จะต้องทำการฌาปนกิจศพหลังจากที่ตั้งบำเพ็ญกุศลที่วัดครบเจ็ดวัน หลังจากการตายของน้องที่นับถือเขาอย่างพี่ชาย เทิดทูนงานศิลปะของเขาอย่างอาจารย์ ด้วยภาวะหัวใจล้มเหลวเฉียบพลัน

"แกคงใกล้เดินไปถึงประตูนั้นแล้วซินะ...ขอบใจมากน้องรัก"
"สักวัน...ฉันจะไปหาแกที่นั่น"

ภาพนั้นทำให้ชาติ มีชื่อเสียงในฐานะศิลปินหน้าใหม่ที่มีผลงานโดดเด่นทางศิลปะ เขาใช้ชีวิตกับอาชีพจิตรกรของเขาอย่างมีความสุข และไม่เคยคิดเบื่อหน่ายกับชีวิตของตัวเองอีกเลย อยู่กับภรรยาและลูกชายวัยกำลังซน ช่างสงสัย ที่ชาติเป็นคนตั้งชื่อเล่นให้เขาว่า นพ
จนวาระสุดท้ายของชีวิตตัวเอง ภาพสุดท้ายที่เห็นก่อนทุกอย่างมืดมิดลงคือ ภาพของมือคู่นึง เอื้อมมาหาที่ตัวเขา เหมือนเชื้อเชิญให้เดินไปยังแสงสว่างด้วยบันไดที่ทอดยาวสู่เบื้องบน กับประตูหนึ่งบานที่ปลายทางนั้น


ประตูสวรรค์บานสุดท้าย...



บุคคล สถานที่ ที่ปรากฎในเรื่องสั้นเรื่องนี้ เป็นการสมมุติขึ้นทั้งสิ้น
ไม่มีเจตนาล่วงเกิน หลบลู่ ใครแต่ประการใด

หญิงชรา

ฟ้ามืดแล้ว แต่แสงไฟตามท้องถนนยังคงสว่าง วิ่งขวักไขว่ไปมาไม่ขาดสาย เสียงเครื่องยนต์ และแตรสัญญาณดังเป็นระยะ ริมบาทวิถี เต็มไปด้วยเสื่อน้ำมันที่วางของขายยาวตลอดแนวจนถึงป้ายรถโดยสารประจำทาง ที่ไร้แสงไฟส่องสว่างทั้งๆที่อยู่ริมถนนใหญ่

ชายหนุ่มยืนคอยรถโดยสารประจำทางอย่างตั้งใจ เช่นเดียวกับผู้คนที่ยังดูหนาตาแม้เวลาจะล่วงเข้าใกล้เที่ยงคืนเต็มที เขามองไปมาจับจ้องหมายเลขของรถโดยสารที่วิ่งเข้าเทียบป้ายคันแล้วคันเล่า ก็ยังไม่มีวี่แววของรถที่เขาจะโดยสาร แล้วในนาทีนั้น เขาก็หันไปพบกับหญิงชราสองคน ซึ่งบัดนี้ดูเหมือนตัวเขาจะยืนอยู่ระหว่างหญิงชราทั้งสองโดยไม่รู้ตัว

คนหนึ่งนั้น...นั่งยองๆอยู่ทางขวามือ ด้านหน้าของหญิงชราผมขาวที่นั่งเคี้ยวหมากคือกระจาดขนาดใหญ่วางบนลังโฟมใส่น้ำแข็ง ในกระจาดเต็มไปด้วยพวงมาลัยนับสิบพวง แหงนหน้ามองผู้คนที่เดินผ่านไปมา รอคอยเพียงใครเข้ามาทักถามถึงราคาของพวงมาลัยเหล่านั้น เพื่อให้ได้มาซึ่งการขาย

อีกคนหนึ่งนั้นอยู่ทางด้านซ้ายมือนั่งลงกับพื้นบาทวิถีและเอนหลังกับเสาของที่พักรอรถโดยสารข้างๆกายเธอมีไม้เท้าโลหะแวววาววางอยู่ และในมือถือกะลามะพร้าว ยกท้วมหัวรอผู้คนที่เดินผ่านไปมา เพื่อให้ได้มาซึ่งการขอ

ชายหนุ่มผู้ยืนอยู่ระหว่างหญิงชราทั้งสอง รู้สึกฉงนใจขึ้นมาอย่างหาสาเหตุไม่ได้ที่ตัวเขาเกิดความรู้สึกนั้น ความรู้สึกสงสารปนสงสัย และคำถามที่ดูเหมือนเขาจะต้องตอบให้ได้ ระหว่างซ้ายและขวา ระหว่างหญิงชราทั้งสอง ที่หนึ่งขายของเพื่อเลี้ยงชีพกับอีกหนึ่งที่ขอเพื่อเลี้ยงชีพ ทำไมช่างเป็นความเหมือนที่แตกต่างกันสุดขั้วแบบนี้ ในสถานที่ใกล้กันเพียงเดินก้าวข้ามถึง

เสียงเหรียญกระทบก้นกะลาครั้งแล้วครั้งเล่าจากผู้คนที่เดินผ่าน และจากผู้ที่ยืนรอรถโดยสารเช่นเดียวกับชายหนุ่มผู้นั้น ในขณะที่ พวงมาลัยในกระจาดยังคงตั้งกองพะเนินอยู่เท่าเดิมและมีเพียงคนเดินผ่านไปอย่างไร้ความสนใจต่อดอกไม้ที่ร้อยเรียงเป็นพวง

ชายหนุ่มคิดเพียงว่า นี่เป็นเพราะ แค่คำว่าให้ทานใช่หรือไม่ ที่ทำให้ผู้คนเต็มใจที่จะหย่อนเงินลงในกะลาของหญิงชราขอทาน มากกว่าการซื้อดอกไม้จากหญิงชราอีกคนที่เต็มใจทำมาหากิน

ชายหนุ่มได้แต่หัวร่ออยู่ในใจจากภาพที่เห็นจนแสดงออกทางสีหน้าและรอยยิ้มแปลกๆที่มุมปาก เขาเดินไปถามถึงราคาดอกไม้จากหญิงชราผมขาวและซื้อมันมาไว้ในมือดอกมะลิส่งกลิ่นหอมเตะจมูกให้ชายหนุ่มรู้สึกผ่อนคลายจากคำถามทั้งหมดที่มีล้วงกระเป๋าและจ่ายเงินให้ด้วยรอยยิ้มแห่งความสบายใจ และยืนรอเงินทอนจากหญิงชราขายดอกไม้นั้นอย่างใจเย็นจนแทบไม่สนใจว่ารถโดยสารที่เขารออยู่นั้นจะมาอีกหรือไม่

หลังจากรับเงินทอนซึ่งเป็นเศษเหรียญสิบและเหรียญบาทอีกสองสามเหรีญกำไว้ในมือ เขาหันหลังกลับเดินมายังด้านตรงข้าม แล้วหย่อนเงินทอนทั้งหมดลงใส่ในกะลาเก่าๆที่หญิงชราอีกคนถืออยู่ อย่างจงใจ ด้วยรอยยิ้มแห่งความอิ่มเอิบอย่างแปลกประหลาด เป็นเวลาเดียวกันกับรถโดยสารหมายเลขที่เขารอจอดเทียบป้ายพอดี ชายหนุ่มเดินขึ้นรถไปพร้อมพวงมาลัยในมือที่ยังส่งกลิ่นหอมอยู่ แล้วรถก็ค่อยๆเคลื่อนตัวออกจากที่จอดวิ่งลับตาไปกับแสงไฟบนท้องถนนยามค่ำคืน โดยไม่นึกถึงคำถามที่เคยผุดขึ้นมาในหัวเขาอีก

เป็นอันว่า ณ จุดที่เขาอยู่ระหว่างหญิงชราทั้งสองนั้น เขาไม่ได้ทำให้ใครขุ่นข้องหมองใจจากการกระทำเหล่านั้นเลย...



บุคคล สถานที่ ที่ปรากฎในเรื่องสั้นเรื่องนี้ เป็นการสมมุติขึ้นทั้งสิ้น
ไม่มีเจตนาล่วงเกิน หลบลู่ ใครแต่ประการใด

จดหมายถึงคนบนฟ้า

นเช้าก่อนวันหยุดนักขัตฤกษ์ เด็กชายกับรถเข็นบนเบาะขาดๆและส่วนที่เป็นโลหะสนิมเกรอะกรัง ที่ด้ามจับเพื่อใช้เข็นนั้น เต็มไปด้วยสายเชือกป่านสีขาวผูกติดระโยงระยางลอยขึ้นสูงสู่ปลายเชือกด้านบน เต็มไปด้วยลูกโป่งสดสวยหลากหลายสีสันประมาณสิบลูกรถเข็นจอดอยู่ในสวนสาธารณะบนถนนทางเดินขนาดไม่ใหญ่เรียบต้นหญ้าข้างทางและติดกับบ่อน้ำที่คนทั่วไปในย่านนี้ ใช้เป็นที่พักผ่อนหย่อนใจ และออกกำลังกายในช่วงเช้า ทั้งวิ่ง ทั้งเดิน บ้างก็นั่งบ้างก็รำมวยจีน มีทั้งเด็ก ผู้ใหญ่ จนถึงวัยชรา

ต้น เด็กชายวัย 12 ปี นั่งจ่อมติดกับตัวรถเข็น รอผู้คนที่ผ่านไปมา เพื่อขายลูกโป่งที่เขารับมาขายอีกต่อนึงอย่างอดทน เพราะหากไม่ใช่วันหยุดที่มีคนพลุกพล่านจริงๆ ก็ยากที่จะมีใครหยุดซื้อลูกโป่งที่ผูกติดกับรถเข็นของเขา

"ซื้อลูกโป่งไหมครับ" เสียงเด็กชายร้องเรียกผู้คนที่ผ่านไปมาหน้ารถเข็นที่เขานั่ง ซึ่งก็ไม่มีทีท่าว่าใครจะหยุดซื้อความคิดในหัวตอนนี้มีเพียง ทำอย่างไรให้วันนี้ มีเงินซื้อข้าวกลับไปให้ปู่ที่นอนซมอยู่กับบ้านได้กิน จนเวลาคล้อยผ่านไปตอนสายของวันนั้น
"ขอซื้อลูกโป่งสักสามลูกซิหนู ลูกละเท่าไหร่จ้ะ"เสียงพูดอันนุ่มนวลผ่านมาตามลมเอื่อยๆ
"ลูกละ สิบบาทครับผม" ต้นขานตอบ บอกราคากับหญิงสาววัยกลางคนผู้นั้น
"ขอบคุณมากครับ"

เวลาใกล้เที่ยง เด็กชายมีเงินในกระเป๋า 30 บาท เข็นวงล้อรถที่เขานั่งไปตามทางออกจากสวนสาธรณะเพื่อตรงไปยังร้านขายอาหารตามสั่งใกล้บ้าน เพื่อซื้อหาข้าวปลากลับไปฝากปู่

"ป้าติ๋วๆ ขอข้าวผัดกล่องนึงครับ"
"ทำไมซื้อแค่กล่องเดียวล่ะต้น อยู่บ้านกันสองคนไม่ใช่เหรอ"
"วันนี้ขายได้นิดเดียวเองครับ มีพอซื้อได้แค่กล่องเดียว"
เด็กชายตอบด้วยสีหน้าหงอยๆ
"ไม่เป็นไร เดี๋ยวป้าทำให้สองกล่องนะ เอาไปกินกัน"
ป้าติ๋วคนขายอาหาร บอกกับเด็กชายอย่างเข้าใจถึงปํญหาที่ต้นเผชิญอยู่
"มันจะดีเหรอครับป้า ของต้องซื้อต้องขาย"ต้นตอบด้วยน้ำเสียงเกรงใจ

ป้าติ๋วไม่ได้ตอบอะไร มีเพียงรอยยิ้มส่งกลับมายังต้น เมื่อได้ข้าวกล่องแล้วก็เดินทางกลับบ้านอย่างดีใจที่เที่ยงนี้ ปู่กับตัวเขา จะได้กินอิ่มอย่างน้อยก็หนึ่งมื้อ ระหว่างทาง ผ่านร้านขายของชำ เด็กชายยังพอมีเงินเหลืออยู่บ้าง กับความตั้งใจบางอย่าง ที่จะทำในวันหยุดวันพรุ่งนี้ เขาซื้อกระดาษกับดินสอมา แล้วรีบเดินทางต่อเข้าไปในตรอกเล็กๆ ที่สองข้างทางเต็มไปด้วยน้ำสีดำส่งกลิ่นเหม็นอบอวล...

"ปู่ๆ ผมกลับมาแล้วปู่ เดี๋ยวผมเอาข้าวเข้าไปให้กินนะ"

ไม่ได้มีเสียงตอบกลับเป็นคำพูดใดๆ มีเพียงเสียงคราง ฮือๆ อือๆ ลอดผ่านช่องไม้ผุๆที่ใช้เป็นฝาบ้าน กันลมกันฝนมานานหลายปีตั้งแต่เขาจำความได้ ให้ได้รับรู้ถึงตัวตนของผู้เฒ่าวัยใกล้ฝั่งที่ป่วยกระเซาะกระแซะ ว่ายังมีลมหายใจอยู่ ต้นอยู่กับปู่มานานแล้วตั้งแต่ยังแบเบาะไม่เคยเห็นหน้าค่าตาของผู้เป็น บิดามารดรของตนว่าเป็นผู้ใด และไม่เคยเอ่ยถามกับปู่แม้อยากรู้ก็ตามที ด้วยเห็นปู่นั้นเป็นดั่งพ่อและแม่ หาเลี้ยงเขามาหลายปีจนมาป่วยลง จึงทำให้ต้น ต้องออกหาเงินเองแม้ร่างกายจะพิการ ด้วยขาที่ลีบเดินไม่ได้ บนรถเข็นที่ปู่เป็นคนทำให้จากเศษวัสดุ เมื่อหลายปีก่อน

คืนนั้น หลังจากจัดแจงให้ปู่ได้นอนแล้ว เด็กชายเอากระดาษกับดินสอที่ซื้อมาขึ้นมาเขียนข้อความ ด้วยลายมือที่ดูยุ่งเหยิงแต่พออ่านออก จากเด็กที่ได้เรียนมาน้อย พออ่านออกเขียนได้ใส่กระดาษสีขาว อย่างตั้งอกตั้งใจ จนเสร็จ ต้นคืบคลานด้วยมือทั้งสองข้าง พร้อมกระดาษที่คาบอยู่ที่ริมฝีปาก เพื่อไปยังรถเข็น ที่มีลูกโปงเหลืออยู่ เขาจัดแจงผูกกระดาษที่ตอนนี้ถูกม้วนเป็นทรงกระบอกติดกับปลายเชือกอย่างบรรจงและแน่นหนา แล้วต้นก็คืบคลานอีกครั้งไปยังหลังบ้านซึ่งเป็นทุ่งหญ้าแทงยอดสูงรกร้าง แล้วเขาก็ปล่อยลูกโป่งนั้นลอยสูงขึ้นไป สูงขึ้นไป จนแสงดาวและเดือน ไม่อาจส่องให้มองเห็นได้ลอยลิ่วสูงไปจนลับตา ต้นนั่งมองลูกโป่งลูกนั้นด้วยรอยยิ้มแห่งความพึงพอใจ ก่อนจะหันตัวกลับเขาไปในตัวบ้าน เอนตัวลงนอนบนผืนเสื่อขาดๆของตัวเองภายในมุงข้างปู่ของเขา บ่นพึมพำเบาๆกับตัวเองว่า

"หวังว่าเขาคงได้รับรู้" แล้วก็ผลอยหลับไป

รุ่งขึ้น เช้าวันหยุดที่ต้นไม่หยุด ยังคงพาตัวเองกับรถเข็นออกไปขายลูกโป่งที่รับมาใหม่หลังจากเอาของเก่าไปเปลี่ยน เพื่อเติมแก๊ซและผูกเชือกนำกลับมาขายใหม่ในวันหลัง ทุกอย่างดำเนินไปเกือบเหมือนทุกวัน ดีกว่าก็ตรงที่วันนี้คนในสวนสาธารณะนั้นดูหนาตากว่าทุกวัน เนื่องจากเป็นวันหยุดพิเศษ และทำให้ต้นขายลูกโป่งได้เยอะกว่าทุกๆวัน

แล้วเหตุแห่งความบังเอิญ หรือสิ่งที่ต้นตั้งใจไว้นั้นสำเร็จผลก็มิอาจรู้ได้ หญิงสาววัยกลางคนที่ซื้อลูกโป่งของต้นเมื่อวานเดินมาพร้อมมือที่ถือแผ่นกระดาษดูคุ้นตาที่ต้นจำได้เพราะเมื่อวานมีหญิงคนนี้เพียงผู้เดียวที่ซื้อลูกโป่งของต้น ตรงเข้ามาหายังรถเข็นที่เขานั่งอยู่อย่างจงใจ

หญิงสาวกลางคนเอ่ยขึ้นพร้อมน้ำเสียงสั่นเครือ
"ต้น...ต้นลูกแม่ แม่ขอโทษ"

หญิงสาวกลางคนเล่าถึงความเป็นมาเป็นไปให้ต้นได้ฟัง แม้ตัวเขาจะไม่ค่อยเข้าใจนักกับคำพูดอธิบายต่างๆ แต่สิ่งที่ต้นเขียนในกระดาษแผ่นนั้น ได้เล่าความเป็นไปของตัวต้นเองและปู่หลังจากที่ม้วนกระดาษแผ่นนี้ ตกลงในสวนหน้าบ้านของหญิงกลางคนผู้นี้ เมื่อได้เปิดอ่าน ก็แจ้งแก่ใจในทันทีว่าข้อความทั้งหลายที่บันทึกนั้น เป็นลูกของเธอแน่ๆ ด้วยความสงสัยจึงเดินทางไปสอบถามยังชุมชนที่มีชื่อปรากฏอยู่ ในกระดาษ และได้พบกับปู่ของต้น ทุกอย่างก็กระจ่างชัด

ข้อความที่บันทึกในกระดาษนั้นมีใจความว่า...

ถึง คนบนฟ้า

ผมชื่อต้น อายุ 12 ปี ที่ผมเขียนจดหมายฉบับนี้เป็นเพราะความตั้งใจที่จะเขียนถึงท่านบอกเล่าเรื่องราวที่ผมอยากรู้มานานหลายปี ตั้งแต่ผมจำความได้ผมอาศัยอยู่กับปู่ทิว ท่านเป็นเหมือนทั้งพ่อและแม่ของผม ความเป็นอยู่ของเราลำบากเหลือเกิน แต่ผมไม่ท้อที่จะดูแลปู่ทิวของผมเลยนะ และแม้ตัวผมเองจะเกิดมาพิการ ผมก็ยังพยายามเป็นคนดี

สิ่งที่ผมอยากบอกและขอท่านในวันหยุดนี้ วันหยุดอันแสนวิเศษที่ทำให้ผมรู้ว่าอย่างน้อยที่ผมได้เกิดมาก็ต้องมีพ่อและแม่เหมือนกันกับคนอื่นๆแม้ผมจะไม่เคยได้เจอท่านก็ตามผมอยากขอให้ท่านฝากข้อความนี้ไปบอกกล่าวกับคุณพ่อคุณแม่ของผมว่า

ผมคิดถึงพวกท่าน อยากกราบเท้าท่านในวันนี้ กอดท่านแม้ไม่เคยรู้เลยว่าหน้าตาพวกท่านเป็นยังไง ผมจะรักพวกท่าน แม้ว่าพวกท่านจะทอดทิ้งผม ผมแค่อยากให้พวกท่านรับรู้ ยังไงผมฝากท่านช่วยบอกแทนผมด้วยนะครับ ว่าขอให้พวกท่านมีความสุข แข็งแรง ไม่เจ็บไม่ไข้ แต่หากพวกท่าน อยู่บนฟ้าเหมือนกัน ก็ขอให้พวกท่านอวยพรให้เรา ปู่หลาน ในวันแม่วันนี้ด้วย ขอบคุณครับ

จาก ด.ช.ต้น ชุมชนตรอกน้ำเรียบ







ชื่อบุคคล สถานที่ ที่ปรากฎในเรื่องสั้นเรื่องนี้ เป็นการสมมุติขึ้นทั้งสิ้น
ไม่มีเจตนาล่วงเกิน หลบลู่ ใครแต่ประการใด

๑๘.หุ่นเชิดทวิลักษณ์

รู้จัก คนที่มีลักษณะ ทวิลักษณ์ มั้ย มันเป็นความขัดแย้งที่เกิดขึ้นกับใครก็ได้ ที่รู้สึกขัดแย้ง...กันในความคิดของตัวเอง ในการกระทำของตัวเอง...ซึ่งมันทำให้เราสับสน กับการแยกแยะมันออกจากกันกับทั้งสองความรู้สึกที่มี

ความรู้สึกนึงมีความสุขอยู่กับสิ่งที่ได้ทำ แต่อีกความรู้สึกกับบอกตัวเองว่า นี่เรากำลังหลอกตัวเองอยู่นะ...กับสิ่งที่ทำอยู่ตอนนี้

ทวิลักษณ์ ก็คือ คนสองบุคลิก ซึ่งอาจแสดงออกอย่างชัดเจน หรือไม่แสดงออกเลย ก็เป็นได้ หนึ่งร่างแต่เหมือนมีสองคนอยู่ในนั้น มันเหนื่อยเหมือนกันนะ กับการรับมือความรู้สึกที่แปลกแยกของตัวเอง ไม่มีความรู้สึกไหน กลัวความรู้สึกไหนเลย มันทำให้เราสับสนมาก ว่า...ควรเลือกทำอะไร ไม่ควรทำอะไร เพราะเหตุผลของทั้งสองความรู้สึกไม่ผิดไม่ถูกเหมือนกัน มีระดับความน่าเชื่อถือเท่ากัน...

แล้วความเครียดก็บังเกิด...

เหมือนกับว่าความรู้สึกทั้งสองอย่าง
กำลังจะฉีกร่างฉันให้แยกออกเป็นสองซีก
มันปั่นป่วน รุนแรง อยู่ในหัวสมอง
จนแทบอยากจะคลุ้มคลั่ง

...นี่ฉันเป็นอะไรไป

หยาดฝนบนพื้นแผ่นดินอันแห้งแล้ง

ยาดฝนบนพื้นแผ่นดินอันแห้งแล้งจะมีความหมายอย่างยิ่ง...
เพราะมันทำให้ผืนแผ่นดินสดชื่นขึ้นอีกครั้งและต้นไม้ใบหญ้าถูกชะล้างจนสะอาด

จิตใจของคนเราก็เช่นเดียวกัน เพราะจิตใจของคนเรามักถูกทับถมด้วยฝุ่นละออง ที่เราเรียกมันว่ากิเลส ซึ่งหมายรวมถึงสิ่งไม่ดี ที่เกาะกินจิตใจของเราทุกวี่วันมันทำให้เราเข้าสู่วังวนแห่งด้านมืดเห็นผิดเป็นชอบ กล่าวโทษผู้อื่นด้วยความรู้สึกอิจฉาริษยา ไร้สิ่งที่เป็นความจริง เพียงเพื่อให้เขาเหล่านั้นได้รู้สึกว่ามีอำนาจเหนือกว่าคนอื่นๆที่เขาว่าร้ายจิตใจแห้งแล้งและหยาบช้าอย่างร้ายกาจ ทุกสิ่งที่จับต้องไร้ความจริงใจโดยสิ้นเชิง สิ่งไหนไร้ประโยชน์ก็ไม่เคยจะเหลียวแล

หากเราชะล้างจิตใจของเราได้ มันก็จะเป็นการดียิ่งที่ทุกอย่างจะเอนเอียงไปในทางบวกทางเจริญ มากกว่าสิ่งที่พูดถึงไปข้างต้น แล้วเราจะทำการชะล้างจิตใจของเราได้อย่างไร ทำอย่างไรที่จะปัดเป่าฝุ่นละอองที่เกาะกินจิตใจเรา อย่างน้อยๆ ก็ให้ฝุ่นเหล่านั้นเบาบางกว่าที่เป็นก็คงจะแลเห็นแค่ สติ ที่คนเราจะสามารถใช้พินิจพิเคราะห์ แยกแยะ ว่าอะไรจริง อะไรไม่จริง ฟังอย่างตั้งใจ มองอย่างพิจารณา และคิดด้วยปัญญา


ฟังให้ได้ยิน ไม่ใช่ได้ยินแต่ไม่ได้ฟัง
มองให้ได้เห็น ไม่ใช่ได้เห็นแต่ไม่ได้มอง
คิดให้ทะลุปรุโปร่ง ไม่ใช่มุทะลุเพราะความคิด
ทำให้มีคุณค่า ไม่ใช่ทำทุกอย่างเพราะมันมีมูลค่า
ให้ด้วยความเต็มใจ ไม่ใช่ให้เพราะหวังจะได้รับ

ขอ สติ จงมีแก่ทุกท่านมากกว่าอำนาจแห่ง กิเลส
ขอ สติ เป็นดั่งหยาดฝน ชะล้างฝุ่นละอองที่เกาะกินใจท่าน
และตัวข้าพเจ้าเองให้หมดไป...