คู่แท้...

คู่แท้เกิดยากมาก แต่ฉันเชื่อว่าคู่แท้มีจริง เหมือนหนึ่งดวงวิญญาณแต่แยกเป็นสองร่าง แล้วก็กลับมาหลอมรวมเป็นหนึ่งเดียวกันอีกครั้ง ไม่ว่าจะอยู่ที่ใด วันนึงทั้งคู่ต้องกลับมาเจอกันไม่ทางใดก็ทางนึง และถึงแม้จะใช้เวลานานหลายพบหลายชาติ เวลา...ก็ไม่ได้ทำให้คู่แท้โหยหากันน้อยลง


แล้วเราจะรู้ได้อย่างไรว่า ใครคือคู่แท้ของเรา...ไม่มีใครบอกได้หรอก เราพบเราจะรู้เอง และความรู้สึกนั้นต้องไม่หลอกตัวเอง และไม่ทรยศความรู้สึกนั้นๆ ด้วยการบังคับฝืนใจด้วย...การรอคอยอะไรบางอย่างหรือใครบางคนนั้น มักมีแรงดึงดูด และถึงแม้จะมากมายมหาศาล หรือน้อยนิดเพียงใดก็ตาม แรงดึงดูดนั้น ทรงพลังเสมอ และเรารับรู้ได้ว่ามันส่งผ่านไปถึงใครคนนึง คนที่เขานั้น ก็อาจกำลังส่งผ่านความรู้สึกอย่างเดียวกันกลับมา


คู่แท้ คือหนึ่งเดียวของจิตวิญญาณที่แบ่งเป็นสอง ตามที่เกริ่นไปข้างต้น ดังนั้นความห่างของระยะทาง กับความห่างของใจ มันเทียบกันไม่ได้แน่ เพราะคู่แท้อยู่ไม่ได้ถ้าขาดอีกครึ่งของดวงวิญญาณ แต่ไม่ได้หมายความว่าเราทุกผู้มีคู่แท้ บางคนกว่าจะหากันจนเจอ อาจกินเวลาล่วงไปเป็นไม้ใกล้ฝั่งแล้วก็มี ในขณะที่บางคนไม่รับรู้ถึงความรู้สึกถึงการมีตัวตนของคู่แท้นั้น ดังนั้นการรับรู้ถึงความมีตัวตนในอีกครึ่งของดวงวิญญาณนั้น เป็นสิ่งที่ใครบอกแทนใครไม่ได้ ต้องให้ใจเราบอกตัวเราเอง(โดยไม่ลวงตัวเอง)


ค้นหา คู่แท้ด้วยใจ...ถ้าตัวเรามีคู่แท้ดังที่ว่า และมั่นใจว่ามีอีกครึ่งของดวงวิญญาณที่ต้องตามหา ไม่ว่าจะอีกกี่ปีกี่ชาติ สักวันจะได้พบ สักวันต้องได้พบ สักวัน...



"กว่าจะประสพพบเจอกัน ต้องทำบุญร่วมกันมาเป็น 10 ชาติ
กว่าจะได้ร่วมเรียงเคียงหมอนกัน ต้องทำบุญร่วมกันมาเป็น 100 ชาติ"



ก็บอกแล้ว...เวลา ไม่ทำให้คู่แท้โหยหากันน้อยลงได้หรอก ฉันเชื่ออย่างนั้น


ปล.เป็นความเชื่อส่วนบุคคล ควรใช้วิจารณญาณในการอ่าน ขอบคุณ

ค้น...ให้เจอ

  • ฉันเคยนั่งวาดรูปสมัยเด็กๆ และฉันเรียนไม่เอาไหน
  • ฉันเคยเรียนภาษาจีนทั้งๆที่พ่อแม่ของฉันก็เป็นเชื้อสายจีน ที่ทั้งปู่ย่าตายายฉันก็อพยพมาจากเมืองจีนและฉันก็ไม่เอาถ่าน
  • ฉันเคยเรียนเปียนโน ได้รู้จักตัวโน้ต เล่นเพลงง่ายๆได้ และฉันก็ล้มเลิกมันเสีย
  • ฉันเคยเข้าวงดุริยางค์ของโรงเรียน ได้เล่น ซูปราโน่แซ็ก เป็นเครื่องแรก ตามมาด้วย คาริเน็ต แล้วฉันก็ถูกฉุดรั้งให้กลับมาเรียนด้านวิชาการเพียงอย่างเดียว
  • ฉันเคยเป็นนักกีฬาบาสเก็ตบอลของอำเภอ และเป็นนักกีฬากระโดดสูงของโรงเรียน แล้วฉันก็ถูกฉุดให้กลับเข้าหาวิชาการเพียงอย่างเดียวอีกครั้ง
  • ฉันเคยเล่นกีต้าร์ แล้วเปลี่ยนเป็นเบส มีวงกับเพื่อนๆซ้อมกันเล่นกัน แล้วต่างคนก็ต่างแยกย้ายกันไป และฉันก็เลิกเล่นมันไปเฉยๆ
  • ฉันเรียนมัธยมปลาย สายวิทย์ เรียนทั้งเคมี ชีวะ และฟิสิกส์ แล้วสุดท้ายฉันก็ย้อนกลับไปหาสิ่งที่ฉันทำในวัยเด็กนั่นคือ การวาดรูปและศิลปะ

ทั้งหลายเหล่านี้ ฉันมานั่งนึกว่า...สิ่งใดกันหนอที่เป็นแรงขับให้เกิดการค้นหาตัวเองตั้งหลายด้านเพื่อสุดท้ายก็กลับมาทำในสิ่งที่เราชอบอยู่แล้วแต่แรก และถึงแม้มันไม่ได้สุดยอดในสายตาใคร ฉันก็ยังภูมิใจที่ฉันได้ทำในสิ่งที่ฉันชอบ หลายๆครั้งฉันนั่งนึกว่ามันก็ตลกดีนะ เพราะหากวันเก่าก่อนนั้นฉันไม่ถูกดึงถูกรั้งกลับมา ฉันอาจเป็นอย่างอื่นไปแล้วก็เป็นได้ แต่หากถามความชอบจริงๆอย่างที่สุด ฉันก็ยังไม่ทิ้งการวาดอยู่ดี ทั้งหมดนี้ฉันถือว่าอย่างน้อยฉันก็รู้ว่าฉันชอบอะไรและได้ทำในสิ่งนั้น หากหลังจากนี้ อาชีพฉันจะเปลี่ยนไปอีกกี่ร้อยกี่พันอย่าง สักวันฉันก็จะต้องหาทางย้อนกลับมาสู่สิ่งที่ฉันรักและชอบอีกจนได้นั่นแหละ

การค้นหาตัวเองไม่ใช่การหลอกตัวเอง แต่บางครั้งความจำเป็นที่จะต้องทำในสิ่งที่ไม่ได้รักไม่ได้ชอบ มันก็ไม่ได้หมายความว่า เราทรยศตัวเองสักหน่อย เราแค่เดินอ้อมไปอีกนิดก็เท่านั้น บางคนอาจเดินอ้อมได้เร็วและกลับมาในเส้นทางเดิมของตนได้เร็ว ในขณะที่บางคนก็ช้าเพราะมัวแต่เขว้ไปตามแรงดึงของสิ่งรอบกายจากผู้คนรอบข้าง

จะอย่างไรก็แล้วแต่ อย่าให้กลายเป็นว่า...กว่าจะรู้ว่าตัวเองต้องการทำอะไร รักชอบสิ่งใดจริงๆ ก็จวนเจียนเข้าสู่ช่วงสุดท้ายของอายุขัยซะก่อนก็แล้วกัน แต่ก็อีก...ถึงจะรู้ช้า ก็ยังดีกว่าตายไปโดยที่ไม่รู้เลยว่า ตัวเราเองรักและชอบในสิ่งใดกัน

ฉันจำประโยคที่ คุณอุดม แต้พานิช พูดอยู่ประโยคหนึ่ง ที่เห็นแล้วว่ามันเป็นจริงที่สุดสำหรับคนยุคปัจจุบัน ประโยคที่ว่านั้นคือ

"คนเรามีความพยายามเท่ากัน แต่ใช้ไม่เท่ากัน"


ฉันว่ามันบ่งบอกรวมได้ถึงว่า...พรสวรรค์ อาจเป็นเพียงสิ่งที่ตนชอบและรู้สึกถนัดในการที่จะทำ แต่พรแสวง เป็นความพยายามเพื่อสร้างความชำนาญ ที่เมื่อใครมีแล้วไม่ว่าจะทำสิ่งใดๆที่ตนมีความชำนาญและรู้แจ้งแทงตลอด ย่อมประสบผลสำเร็จทั้งสิ้น

ค้นหาตัวเองให้พบ และใช้ความพยายามเพื่อให้เกิดความชำนาญให้ถูกทาง แล้วท่านจะได้รู้ว่า

ความสุขนั้นอยู่กับสิ่งที่ได้ทำ ไม่ใช่สิ่งที่ได้มา

ห่วง

คยรู้สึกเหมือนอยู่ๆก็กลายเป็นคนที่เข้าไปแทรกอยู่ในชีวิตใครโดยไม่ตั้งใจไหม เวลานั่งทบทวนแล้วนึกขึ้นได้ว่า เขาก็มีชีวิตและอยู่ของเขาดีๆ แล้วเราจะเข้าไปยุ่มย่าม เจ้ากี้เจ้าการเขาทำไม แม้คำตอบที่ตัวเองได้คือ ก็เรารู้สึกเป็นห่วง ห่วงใย ชอบ รักใคร่ ผูกพัน หรืออะไรก็ตามแต่ มันก็เกิดคำถามขึ้นตามมาอีกว่า เรามีสิทธิ์อะไรในชีวิตเขา ตัวของเขาเอง สิทธิ์ของเขา เขาจะกระทำย่ำยีตัวเขาเองยังไงมันก็เรื่องของเขา ทำไมเราต้องเข้าไปยุ่ง ให้เขาตอกกลับมาว่า สอ ใส่ เกือก อะไรกับชีวิตกู อย่างนั้นเหรอ


แต่จริงๆแล้วถ้าเขาจะเข้าใจบ้าง หรือพยายามเข้าใจบ้าง ถึงความรู้สึกห่วงใยที่เรามี เขาคงไม่คิดแบบนั้น จริงไหม...มันทำให้พาลนึกไปว่า ความรัก ความห่วงใย ก็ยังจำเป็นต้องถูกที่ถูกเวลา ไม่อย่างนั้นก็กลายเป็นเรื่องน่ารำคาญสำหรับเขาไปซะฉิบ


แล้วจะทำอย่างไรดี...อยู่ห่างๆอย่างห่วงๆ แบบชื่อเพลงน่ะเหรอ จะดูเป็น พระเอก นางเอก มากไปหรือเปล่า ก็ในเมื่อคนเราได้รู้จัก ได้รับรู้ความเป็นไปของกันและกัน คงไม่มีใครอยากให้ใครหลงทาง หรือตกเหวตาย โดยที่เราไม่คิดช่วยเหลือเลยหรอกจริงไหม


ฉันเคยอ่านนิยายอยู่เรื่องนึง เป็นเรื่องของฝาแฝดที่ใช่ชีวิตอยู่ร่วมกันประหนึ่งเป็นคนๆเดียวกัน ตั้งแต่เด็กยันโต ผลัดกันออกไปข้างนอกคนละวัน เจอใคร พบเหตุการณ์อะไรก็จะกลับมาเล่าให้อีกคนฟัง เพื่อวันต่อไป เป็นเช่นนี้เรื่อยมา จนแฝดผู้น้อง พบรักกับหญิงสาวคนหนึ่ง ทำให้ทุกอย่างที่เคยเป็นมาของแฝดคู่นี้สั่นคลอน เมื่อคนหนึ่งอยากมีชีวิตของตัวเองขึ้นมา


ทั้งสองเริ่มทะเลาะกันหนักขึ้นๆ เพราะความอยากมีตัวตน จนไม่ได้นึกถึงวันเก่าก่อนที่ต่างฝ่ายต่างดูแลกันและกัน ดำเนินชีวิตเหมือนเป็นคนๆเดียวกัน จนแฝดผู้พี่เอ่ยถามคำถามขึ้นมาว่า


"ถ้าฉันกำลังจะตกหน้าผา ในขณะที่คนรักของนายก็เช่นกัน
และนายก็มีกำลังพอที่จะช่วยได้เพียงคนเดียว นายจะช่วยใคร"



แฝดผู้น้องได้แต่นิ่งเงียบและปล่อยให้คำถามนี้ผ่านพ้นไป ต่างฝ่ายต่างแยกย้ายกันไปใช้ชีวิตของตัวเองอย่างใจต้องการ แต่เมื่อความรักของแฝดผู้น้องเดินทางมาถึงจุดแตกหัก เขากับคนรักไม่สามารถอยู่ร่วมกันได้อีกต่อไป ความผิดหวังทำให้แฝดน้องคิดฆ่าตัวตายหลายต่อหลายครั้ง แต่ทุกครั้ง คนที่ช่วยเขาไว้ได้คือ แฝดพี่ของเขา จะด้วยลางสังหรร์หรือความผูกพันระหว่างฝาแฝด หรือปาฏิหาริย์ก็ตาม แฝดพี่จะรับรู้ถึงความไม่ปรกติของอีกฝ่ายที่เกิดขึ้นแม้ตัวจะอยู่ห่างกัน จนวันหนึ่งแฝดผู้น้องก็เริ่มคิดทบทวนถึงทุกสิ่งที่ผ่านมาตั้งแต่เข้าจำความได้ เขากับพี่ชายฝาแฝดไม่เคยห่างจากกันเลย แม้กระทั้งตอนนี้ตอนที่ตัวเขากับพี่ชายต่างดำเนินชีวิตในรูปแบบของตนแล้ว แต่ทุกครั้งที่เกิดเรื่องหรือมีปัญหา คนสุดท้ายที่มาถึงในนาทีสุดท้ายของการจบปัญหาแบบโง่ๆ คือ พี่ชายฝาแฝดของเขาทุกครั้ง ความห่วงใย และผูกพันตรงนี้ไม่มีวันลบเลือนออกไปได้ไม่ว่าคนทั้งสองจะห่างไกลกันแค่ไหน...แฝดผู้น้องคิดได้แบบนั้น น้ำตาก็ใหลอาบแก้ม เขาเดินทางกลับไปหาพี่ชายฝาแฝด และตอบคำถามที่ค้างคามานานแสนนานที่ว่า


"ถ้าฉันกำลังจะตกหน้าผา
ในขณะที่คนรักของนายก็เช่นกัน
และนายก็มีกำลังพอที่จะช่วยได้เพียงคนเดียวนายจะช่วยใคร"



"ฉันจะช่วยคนที่ฉันรักขึ้นมาจากปากเหว
แล้วฉันจะกระโดดตามนายลงไป"




จากเรื่องนี้ฉันมองว่า คนเรานั้นยังไงก็ยังอยากมีชีวิตที่เป็นในแบบของตัวเอง และบางครั้งมันทำให้การคำนึงถึงผู้ที่คอยห่วงใยตัวเราจริงๆลดลง ต่อเมื่อเขาได้เห็นได้พบเจอเข้ากับตัวจึงรู้ว่าอะไรเป็นอะไร และเริ่มสูญเสียอะไรไป แต่บางครั้งก็อาจสายเกินแก้ไปแล้ว


เหลียวมองความรู้สึกของคนที่เป็นห่วงใยเราจริงๆบ้างนะ อย่าปล่อยให้เขารู้สึกอ้างว้างจากการกระทำตามใจตัวเราเองมากจนเกินพอดี เพราะเมื่อความผิดพลาดเกิดขึ้น ความเสียหายมักจะดูทวีคูณเสมอๆ

วันเด็ก

วันเด็กแห่งชาติ

วันที่ข้าพเจ้าจำได้ว่า เคยไปนั่งในเฮลิคอปเตอร์กับพ่อที่ค่ายเสนาณรงค์ และเป็นเพียงครั้งเดียวเท่านั้นที่เคยทำแบบนั้นในวันเด็ก ข้าพเจ้าจำไม่ได้ว่าตัวเองอยากเป็นอะไรเวลาที่มีคนถามถึงอาชีพในอนาคตที่ใฝ่ฝันไว้ และข้าพเจ้าจำไม่ได้ด้วยซ้ำว่าปีนั้นข้าพเจ้าอายุเท่าไหร่...

ก็เป็นเรื่องที่แปลกสำหรับเด็กต่างจังหวัดคนหนึ่ง ที่ความทรงจำส่วนนี้เลือนลางเหลือเกิน เพราะไม่ได้มีใครในครอบครัวให้ความสำคัญกับวันนี้มากนัก เพราะทุกคนในครอบครัวต่างทำมาหากิน วันเด็กจึงไม่ใช่วันของเด็กอย่างฉัน สมัยนั้นข้าพเจ้าได้เงินใช้ในวันเสาร์-อาทิตย์ เพียง 2บาท เท่านั้น ดังนั้นในวันเด็กข้าพเจ้าก็อาจได้เพิ่มเป็น 5บาท ไม่เกินกว่านี้ และมีความสุขที่ได้ซื้อขนมทานเพิ่มในวันดังกล่าว มากกว่าร้องขอให้พาไปเที่ยวงานที่ไหนๆ

วันนี้เมื่อข้าพเจ้าเลยวัยเด็ก วัยที่ควรเรียนรู้ตามวัยให้สมวัยหมดไป หรือก้าวข้ามผ่านวัยนั้นมา มีบางครั้งที่ยังคงถามตัวเองว่า เมื่อสมัยเด็กๆตัวเราเคยฝันอยากเป็นอะไร...ซึ่งคำตอบที่ได้คือความว่างเปล่า ข้าพเจ้าทำวัยเด็กสูญหายไปนานแล้ว และนั่นอาจเป็นจุดเริ่มที่ข้าพเจ้าหันมาทำงานด้านศิลปะ ซึ่งอาจเป็นเพียงการพยายามสานต่อความเป็นเด็กที่ตกหล่นหายไปให้ยังคงอยู่มากที่สุดก็เป็นได้

วันเด็ก วันของเด็ก สำหรับเด็ก เพื่อเด็ก อย่าปล่อยให้เด็ก ต้องอยู่อย่างเหงาหงอยโดดเดี่ยวในวันนี้เลย เพราะเมื่อเขาเติบโตขึ้นแล้วย้อนถามตัวเองว่าวัยเด็กของเขาหายไปไหน คำตอบที่ได้ อาจไม่ต่างกันกับข้าพเจ้าก็เป็นได้ ใน 1ปี วันเด็กมีเพียงวันเดียว ให้เวลากับเขาบ้างนะ เพราะวันที่เหลือก็เป็นเรื่องของผู้ใหญ่แทบทั้งสิ้น หันไปมองลูกของคุณ หลานของคุณ หรือแม้กระทั่งเด็กๆที่กำพร้าที่ถูกทอดทิ้งกันบ้างก็ดีนะครับ

สุขสันต์วันเด็ก ขอให้เด็กทุกคนมีความสุขที่ได้เรียนรู้ ที่ได้ทำกิจกรรมต่างๆเพื่อการเรียนรู้ และชอบที่จะได้เรียนรู้ แล้วเติบโตขึ้นเป็นกำลังของชาติ แทนที่จะกลายเป็นช่องว่างของประชากรในประเทศ ช่องว่างที่ไม่รู้ว่าตัวตนของตัวเองจะก้าวไปทางไหนเมื่อโตขึ้น หรือกลายเป็นสิ่งที่เรียกว่าทำตัวเรียกร้องความสนใจมากจนก่อให้เกิดความเดือดร้อนแก่สังคมและประเทศชาติด้วยการทำอะไรผิดๆ ซึ่งก็รู้อยู่แล้วว่าผิด

พ.ศ. 2499 - จอมพล ป.พิบูลสงคราม - จงบำเพ็ญตนให้เป็นประโยชน์ต่อผู้อื่นและส่วนรวม

พ.ศ. 2502 - จอมพล สฤษดิ์ ธนะรัชต์ - ขอให้เด็กสมัยปฏิวัติของข้าพเจ้า จงเป็นเด็กที่รักความก้าวหน้า

พ.ศ. 2503 - จอมพล สฤษดิ์ ธนะรัชต์ - ขอให้เด็กสมัยปฏิวัติของข้าพเจ้า จงเป็นเด็กที่รักความสะอาด

พ.ศ. 2504 - จอมพล สฤษดิ์ ธนะรัชต์ - ขอให้เด็กสมัยปฏิวัติของข้าพเจ้า จงเป็นเด็กที่อยู่ในระเบียบวินัย

พ.ศ. 2505 - จอมพล สฤษดิ์ ธนะรัชต์ - ขอให้เด็กสมัยปฏิวัติของข้าพเจ้า จงเป็นเด็กที่ประหยัด

พ.ศ. 2506 - จอมพล สฤษดิ์ ธนะรัชต์ - ขอให้เด็กสมัยปฏิวัติของข้าพเจ้า จงเป็นเด็กที่มีความขยันหมั่นเพียรมากที่สุด

พ.ศ. 2507 - งดการจัดงานวันเด็กแห่งชาติ

พ.ศ. 2508 - จอมพล ถนอม กิตติขจร - เด็กจะเจริญต้องรักเรียนเพียรทำดี

พ.ศ. 2509 - จอมพล ถนอม กิตติขจร - เด็กที่ดีต้องมีสัมมาคารวะ มานะ บากบั่น และสมานสามัคคี

พ.ศ. 2510 - จอมพล ถนอม กิตติขจร - อนาคตของชาติจะสุกใส หากเด็กไทยแข็งแรงดีมีความประพฤติเรียบร้อย

พ.ศ. 2511 - จอมพล ถนอม กิตติขจร - ความเจริญและความมั่นคงของชาติไทยในอนาคต ขึ้นอยู่กับเด็กที่มีวินัย เฉลียวฉลาดและรักชาติยิ่ง

พ.ศ. 2512 - จอมพล ถนอม กิตติขจร - รู้เรียน รู้เล่น รู้สามัคคี เป็นความดีที่เด็กพึงจำ

พ.ศ. 2513 - จอมพล ถนอม กิตติขจร - เด็กประพฤติดีและศึกษาดี ทำให้มีอนาคตแจ่มใส

พ.ศ. 2514 - จอมพล ถนอม กิตติขจร - ยามเด็กจงหมั่นเรียน เพียรกระทำดี เติบใหญ่จะได้มีความสุขความเจริญ

พ.ศ. 2515 - จอมพล ถนอม กิตติขจร - เยาวชนฝึกตนดี มีความสามารถ

พ.ศ. 2516 - จอมพล ถนอม กิตติขจร - เด็กดีเป็นศรีแก่ชาติ เด็กฉลาดชาติเจริญ

พ.ศ. 2517 - นายสัญญา ธรรมศักดิ์ - สามัคคีคือพลัง

พ.ศ. 2518 - นายสัญญา ธรรมศักดิ์ - เด็กดีคือทายาทของชาติไทย ต้องร่วมใจร่วมพลังสร้างความสามัคคี

พ.ศ. 2519 - หม่อมราชวงศ์ คึกฤทธิ์ ปราโมช - เด็กที่ต้องการเห็นอนาคตของชาติรุ่งเรือง จะต้องทำตัวให้ดี มีวินัย เสียแต่บัดนี้

พ.ศ. 2520 - นายธานินทร์ กรัยวิเชียร - รักชาติ ศาสน์ กษัตริย์ เป็นคุณสมบัติของเยาวชนไทย

พ.ศ. 2521 - พลเอก เกรียงศักดิ์ ชมะนันทน์ - เด็กดีเป็นศรีแก่ชาติ เด็กฉลาดชาติเจริญ

พ.ศ. 2522 - พลเอก เกรียงศักดิ์ ชมะนันทน์ - เด็กไทยคือหัวใจของชาติ

พ.ศ. 2523 - พลเอก เกรียงศักดิ์ ชมะนันทน์ - อดทน ขยัน ประหยัด เป็นคุณสมบัติของเด็กไทย

พ.ศ. 2524 - พลเอก เปรม ติณสูลานนท์ - เด็กไทยมีวินัย ใจสัตย์ซื่อ รู้ประหยัด เคร่งครัดคุณธรรม

พ.ศ. 2525 - พลเอก เปรม ติณสูลานนท์ - ขยันศึกษา ใฝ่หาความรู้ เชิดชูชาติ ศาสน์ กษัตริย์ เป็นคุณสมบัติของเด็กไทย

พ.ศ. 2526 - พลเอก เปรม ติณสูลานนท์ - รู้หน้าที่ ขยัน ซื่อสัตย์ ประหยัด มีวินัยและคุณธรรม

พ.ศ. 2527 - พลเอก เปรม ติณสูลานนท์ - รักวัฒนธรรมไทย ใฝ่ดีมีความคิด สุจริตใจมั่น หมั่นศึกษา

พ.ศ. 2528 - พลเอก เปรม ติณสูลานนท์ - สามัคคี นิยมไทย มีวินัย ใฝ่คุณธรรม

พ.ศ. 2529 - พลเอก เปรม ติณสูลานนท์ - นิยมไทย มีวินัย ใช้ประหยัด ใจสัตย์ซื่อ ถือคุณธรรม

พ.ศ. 2530 - พลเอก เปรม ติณสูลานนท์ - นิยมไทย มีวินัย ใช้ประหยัด ใจสัตย์ซื่อ ถือคุณธรรม

พ.ศ. 2531 - พลเอก เปรม ติณสูลานนท์ - นิยมไทย มีวินัย ใช้ประหยัด ใจสัตย์ซื่อ ถือคุณธรรม

พ.ศ. 2532 - พลเอก ชาติชาย ชุณหะวัณ - รักชาติ ศาสน์ กษัตริย์ ใจสัตย์ซื่อ ถือคุณธรรม

พ.ศ. 2533 - พลเอก ชาติชาย ชุณหะวัณ - รักชาติ ศาสน์ กษัตริย์ ใจสัตย์ซื่อ ถือคุณธรรม

พ.ศ. 2534 - พลเอก ชาติชาย ชุณหะวัณ - รู้หน้าที่ มีวินัย ใฝ่คุณธรรม นำชาติพัฒนา

พ.ศ. 2535 - นายอานันท์ ปันยารชุน - สามัคคี มีวินัย ใฝ่ศึกษา จรรยางาม

พ.ศ. 2536 - นายชวน หลีกภัย - ยึดมั่นประชาธิปไตย ร่วมใจพัฒนา รักษาสิ่งแวดล้อม

พ.ศ. 2537 - นายชวน หลีกภัย - ยึดมั่นประชาธิปไตย ร่วมใจพัฒนา รักษาสิ่งแวดล้อม

พ.ศ. 2538 - นายชวน หลีกภัย - สืบสานวัฒนธรรมไทย ร่วมใจพัฒนา รักษาสิ่งแวดล้อม

พ.ศ. 2539 - นายบรรหาร ศิลปอาชา - มุ่งหาความรู้ เชิดชูความเป็นไทย หลีกไกลยาเสพติด

พ.ศ. 2540 - พลเอก ชวลิต ยงใจยุทธ - รู้คุณค่าวัฒนธรรมไทย ตั้งใจใฝ่ศึกษา ไม่พึ่งพายาเสพติด

พ.ศ. 2541 - นายชวน หลีกภัย ขยัน - ประหยัด ซื่อสัตย์ มีวินัย

พ.ศ. 2542 - นายชวน หลีกภัย ขยัน - ประหยัด ซื่อสัตย์ มีวินัย

พ.ศ. 2543 - นายชวน หลีกภัย - มีวินัย ใฝ่เรียนรู้ คู่คุณธรรม นำประชาธิปไตย

พ.ศ. 2544 - นายชวน หลีกภัย - มีวินัย ใฝ่เรียนรู้ คู่คุณธรรม นำประชาธิปไตย

พ.ศ. 2545 - พันตำรวจโท ทักษิณ ชินวัตร - เรียนให้สนุก เล่นให้มีความรู้ สู่อนาคตที่สดใส

พ.ศ. 2546 - พันตำรวจโท ทักษิณ ชินวัตร - เรียนรู้ตลอดชีวิต คิดอย่างสร้างสรรค์ ก้าวทันเทคโนโลยี

พ.ศ. 2547 - พันตำรวจโท ทักษิณ ชินวัตร - รักชาติ รักพ่อแม่ รักเรียน รักสิ่งดีๆ อนาคตดีแน่นอน

พ.ศ. 2548 - พันตำรวจโท ทักษิณ ชินวัตร - เด็กรุ่นใหม่ ต้องขยันอ่าน ขยันเรียน กล้าคิด กล้าพูด

พ.ศ. 2549 - พันตำรวจโท ทักษิณ ชินวัตร - อยากฉลาด ต้องขยันอ่าน ขยันคิด

พ.ศ. 2550 - พลเอก สุรยุทธ์ จุลานนท์ - มีคุณธรรมนำใจ ใช้ชีวิตพอเพียง หลีกเลี่ยงอบายมุข

และคำขวัญวันเด็กปีนี้

พ.ศ.2551 - พลเอก สุรยุทธ์ จุลานนท์ - “สามัคคี มีวินัย ใฝ่เรียนรู้ เชิดชูคุณธรรม”

บางที ความรักอาจเป็นแค่

ทุกอย่างที่เกิดจากความรัก แล้วก็แปรเปลี่ยนเป็นความอดทนอดกลั้น จนถึงจุดหนึ่งที่ต่างฝ่ายต่างเริ่มมองกลับเข้าหาตัวเอง ทุกสิ่งก็กลายเป็นความเห็นแก่ตัว จนกว่าจะเริ่มรู้สึกถึงการสูญเสีย เมื่อนั้น ทุกสิ่งทุกอย่างก็มักจะสายไป ทุกสิ่งทุกอย่างก็มักจะช้าเกินไป...เสมอๆ

บางครั้งความเสียหายเกิดขึ้นกับคนอันเป็นที่รัก บางครั้งเกิดความเสียหายกับตัวเราเอง แต่ไม่ว่าจะเกิดในรูปแบบใด ความเสียหายไม่เคยทำให้ใครรู้สึกดี เพราะความทุกข์ที่เกิดตามมามักรุนแรงและเลวร้ายจนยากจะรับไหว...จนเกินจะทนได้...จนหมดสิ้นซึ่งสิ่งที่สวยงามในความคิดและจิตใจ...แล้วทุกอย่างก็ดำดิ่งลงสู่หุบเหวแห่งไฟนรก เผาผลาญกลืนกินจิตใจอันโสมม และอยู่เยี่ยงนั้นยาวนาน จนกว่าเราจะฉุดตัวเราเองขึ้นมาได้...เพราะคงไม่มีใครไม่ว่าโลกนี้หรือโลกไหน ที่จะมาช่วยเราไว้จริงๆสักคน...สัญชาตญาณการเอาตัวรอดบางครั้งก็คาบเกี่ยวกับความรู้สึกเห็นแก่ตัวจนยากจะแยกแยะได้

บางที ความรักอาจเป็นแค่
สารเคมีในร่างกายที่หลั่งออกมามากเกินพอดี บวกกับ จินตนาการที่มีมากเกินไป
เพียงแค่นั้นก็เป็นได้

สินค้ามนุษย์

คำๆนี้ได้อ่านมาจากหนังสือเล่มหนึ่งตอนใกล้บทท้ายๆ รู้สึกสะดุดตากับคำๆนี้ เพราะมันทำให้ข้าพเจ้าพาลนึกถึงอะไรหลายๆอย่างในประเทศนี้ว่านี่เขามองเห็นเราเป็นสินค้า หรือพัสดุอะไรสักอย่างรึเปล่า...?

เช่นนึกไปถึงระบบขนส่งของประเทศเรา กับอุบัติเหตุซ้ำซากที่เกิดขึ้น ว่านี่เขารู้รึเปล่าว่าเราเป็นคน เป็นสิ่งมีชีวิต และมีภาระหน้าที่ต่อบุคคลที่รอคอยเราอยู่ทั้งที่บ้านที่ทำงานหรือที่ใดๆที่เราเดินทางไป ไม่ใช่แค่พัสดุที่ส่งๆไปให้ถึง เอ...หรือพวกเขาเห็นเราเป็นแค่ สินค้ามนุษย์

อ่านข่าวพวกสถานเสริมความงาม หรือพวกที่ผลิตเครื่องสำอางแบบผิดกฎหมาย ว่าเขาเคยคิดว่าเราเป็นคนรึเปล่า ใช้เราเป็นหนูทดลองเพื่อทดสอบสินค้าของเขาแค่นั้นเองเหรอ นี่เรากลายเป็นสินค้ามนุษย์ในรูปแบบของการทดลองไปแล้วเหรอ

แล้วยังพวกที่ลักลอบค้ามนุษย์ ส่งไปขายตัวในต่างประเทศที่ไม่ใช่แบบสมัครใจ เขาไม่เห็นว่าคนเหล่านั้นเป็นคนบ้างเหรอ คนเหล่านั้นเป็นแค่สินค้ามนุษย์ที่ใช้เพียงเพื่อรองรับ สันดานโฉดของไอ้คนเพศผู้บางจำพวก รองรับตัณหา ราคะ ของไอ้พวกเพศผู้มีปมด้อย แค่นั้นเองเหรอ

ความเป็นคนที่กระทำต่อคนเยี่ยงคนเขาทำกันเป็นแบบนี้เหรอ คิดกันแบบนี้เหรอ แค่สินค้ามนุษย์เหรอ...แย่จัง

อาจมีมากกว่านี้อีกหลายเรื่องซึ่งตอนนี้ก็นึกไม่ออก กับการกระทำที่เห็นคนเป็นเพียงสินค้า แต่ที่อยากถาม คือ...นี่คือสิ่งที่สัตว์ประเสริฐเขาปฏิบัติต่อกันใช่ไหม ต่างคนต่างมองว่าอีกฝ่ายเป็นแค่ สินค้ามนุษย์ใช่ไหม ความเสื่อมตามคำทำนายที่กล่าวถึงกาลสมัยเลยครึ่งพุทธกาลไปแล้วเป็นแบบนี้ใช่ไหม นอสตราดามุส บอกถึงกาลสิ้นยุคนั้น มันมีจุดเริ่มจากความเลวร้ายของคนบนโลกในยุคนี้ใช่ไหม ยุคที่วัตถุ เทคโนโลยีเจริญก้าวล้ำไปข้างหน้าเรื่อยๆ แต่จิตใจกลับต่ำลงเรื่อยๆเยี่ยงนี้ใช่ไหม

เฮ้อ...นี่เราเป็นได้แค่นี้เองเหรอ "สินค้ามนุษย์"