ความเคยชิน

คยรู้สึกไหมว่า...ความเคยชิน ไม่ว่าจะเป็นเรื่องไหน มักทำให้เราขาดความระวังระไว มันทำให้เราเผลอเรอที่จะใส่ใจกับสิ่งนั้นๆที่เรารู้สึกเคยชิน

ความเคยชินมักทำให้เราชินชา ไม่ตื่นตัวกับสิ่งที่เราเคยชิน แล้วทุกอย่างก็กลายเป็นเฉื่อยแฉะ ซังกะตาย ดังนั้นควรเหรอที่เราจะให้ความเคยชินมาเกาะกินหัวใจในทุกเรื่อง

ความผิดพลาดที่เกิดจากการกระทำที่เคยชิน ในหลายๆครั้ง ไม่ได้ช่วยให้เราเดินหน้าได้เลย มีแต่จะถอยหลัง มันต่างจากความผิดพลาดที่เกิดจากความตื่นตัว กระตือรือร้นอย่างเห็นได้ชัด เพราะความผิดพลาดที่เกิดจากความกระตือรือร้นนั้น ทำให้เรารู้ว่าครั้งต่อไปควรปรับแก้ตรงไหนให้ถูกต้องเหมาะสม แต่กับความผิดพลาดที่เกิดจากความเคยชินนั้น มักทำให้เราทำได้แค่สรรหาข้อแก้ตัวไปเรื่อย แต่ไม่ได้แก้ไขอะไรให้ดีขึ้นเลย

ฉันเองมีความเคยชินที่จำเป็นต้องเอามันออกไปจากใจให้ได้หลายเรื่อง...เพื่ออะไร เพื่อที่ฉันจะได้ไม่ต้องมานั่งทนฟังตัวเองแก้ตัว หรือให้คนอื่นมานั่งฟังฉันแก้ตัวอยู่ร่ำไปนะซิ ฉันเคยบันทึกไว้ว่า คนเราเมื่อทำอะไรผิดพลาดก็มักจะทำผิดซ้ำเสมอ มันเป็นเพราะอะไร ก็เพราะเจ้าความเคยชินนี่แหละที่ทำให้คนเราทำผิดซ้ำแล้วซ้ำเล่า...และอีกประโยคที่ฉันเคยบันทึกไปคือ คนเราใฝ่ต่ำเสมอเมื่อมีโอกาส มันบอกได้ชัดว่าแม้เราจะรู้ว่าไม่ดีแต่ก็ยังทำ เพราะมันเป็นความเคยชิน เป็นพฤติกรรมที่หยั่งรากในทางที่ไม่เหมาะไม่ควร

หันมาทำอะไรดีๆ แล้วตื่นเต้นตื่นตัวกับการได้ทำดีอยู่เสมอๆกันดีไหม ให้ชีวิตมันเดินไปทางบวก ให้ชีวิตมันดีขึ้นทางเดียวไม่มีลงดีไหม ลองซิ เริ่มจากเอาความเคยชินในใจ ในการกระทำ ออกไปจากชีวิต...ฉันว่ามันไม่ยากอย่างที่คิดหรอก เพียงแต่ตัวเรายังไม่เริ่มลงมือทำเท่านั้นเอง...

ชีวิตใหม่ในพระหัตถ์ของพระเจ้า#2

บันทึกหน้าที่สองของชีวิตใหม่ในพระหัตถ์ของพระเจ้า

จริงๆแล้วก่อนหน้านี้ข้าพเจ้าเคยเขียนบทความโดยแทนตัวเองว่า "หุ่นเชิดแห่งโรงละครโลกของคนบนฟ้า" ข้าพเจ้าพร่ำพรรณนาถึงชีวิตที่เดินทางไปประสบพบเจอมา ว่าเป็นเพราะ คนบนฟ้าเชิดข้าพเจ้าให้เดินไป บางครั้งก็ทิ้งข้าพเจ้าไว้หลังโรงละครโลกเพียงดายเดียวในกล่องเก็บของ

แต่บัดนี้สิ่งที่ข้าพเจ้าได้พบหลังจากกลับสู่เส้นทางของพระเจ้า ข้าพเจ้ากลับได้รู้ว่าโรงละครโลกโรงนี้มิใช่คนบนฟ้าเป็นผู้เชิด แต่กลับกันกลายเป็นคนที่อยู่เบื้องล่าง กำลังนั่งหัวร่องอหายในอากัปกิริยาต่างๆที่เขาเชิดเราให้เดินตุปัดตุเป๋จนเหมือนหลงทาง...หลายครั้งข้าพเจ้าโทษว่าคนบนฟ้าทอดทิ้งข้าพเจ้าไว้ แต่จริงๆแล้วพระองค์พยายามอย่างยิ่งที่จะดึงเราออกมาจากโรงละครโลกโรงนี้มากกว่าผู้ใด และในทุกวิถีทาง เพียงแต่ข้าพเจ้า กลับมองไม่เห็นและไม่ยืนหยัดตัวเองขึ้นมาต่างหาก

ข้าพเจ้ามัวพร่ำบ่นพร่ำคิดอยู่แต่ว่าตัวเองเหงา เหงา และเหงา เพราะคนบนฟ้าไม่เหลียวแล แต่กลายเป็นข้าพเจ้าต่างหากที่ไม่เหลียวแลการช่วยเหลือของพระองค์ เมื่อข้าพเจ้ากลับมายืนอยู่ในเส้นทางของพระองค์ข้าพเจ้าก็ได้รู้ว่า แท้จริงแล้ว พระองค์พยายามอย่างยิ่งที่จะใส่หัวใจ ให้กำลัง และประทานชีวิตให้ข้าพเจ้าอยู่เนืองๆ ทุกสิ่งทุกอย่างตั้งอยู่ตรงหน้า ตรงที่ข้าพเจ้านั่งกองอยู่ แต่กลับมองไม่เห็น ไม่หยิบจับและคว้ามันไว้

ในครั้งที่สามที่ไปโบสถ์ข้าพเจ้าได้รับแผ่นพับ ที่มีสรุปคำเทศนาในหัวข้อ "ความรักชนะทุกสิ่ง" (1 โครินธ์ 13:4-7) ซึ่งเป็นหัวข้อเดียวที่ผ่านตาซ้ำๆวนเวียนหลายครั้งตั้งแต่ข้าพเจ้าได้เข้ามาเป็นส่วนหนึ่งในคริสตจักร และจากการอ่านพระคัมภีร์ เหมือนพระองค์ทรงคอยบอกและเตือนให้ข้าพเจ้าได้ใช้ความรักให้ถูกทาง และรับความรักจากพระองค์และจากพี่น้องคริสเตียนทั้งหลาย ว่าความรักที่แท้นั้นเป็นอย่างไร เขาพิมพ์ไว้ว่า

ลักษณะของความรักที่ชนะทุกสิ่ง คือ ความรักที่เป็นดังนี้1.เป็นรักที่อดทนนาน หมายถึง ท่าทีภายในที่มีความอดทนต่อสิ่งต่างๆ และยอมผ่อนผันให้ แม้จะถูกกระทำอย่างไม่ยุติธรรมก็ตาม รักที่อดทนนานจะสามารถชนะจิตใจคนได้ และผู้ที่เชื่อก็สามารถแสดงความรักแบบนี้ต่อผู้อื่นได้เช่นกัน

2.เป็นรักที่กระทำคุณให้ คือ มีความเมตตากรุณา ซึ่งสำแดงออกมาได้ในสามลักษณะคือ
2.1 ไม่อิจฉา เมื่อเห็นคนอื่นได้ดี ไม่รู้สึกรุ่มร้อนภายใน และสามารถชื่นชมยินดีกับผู้อื่นได้อย่างเต็มใจ และจริงใจ
2.2 ไม่อวดตัว ไม่หยิ่งผยอง และไม่หยาบคาย การไม่อวดตัวก็ย่อมไม่หยิ่งผยอง กาแสดงออกที่ไม่หยาบคายหรือไม่เหมาะสมก็ไม่ก็ย่อมไม่ปรากฏออกมา ความรักแท้จะมีชัยได้ต้องแสดงออกถึงการให้เกรียรติซึ่งกันและกัน ไม่ยกตนว่าอยู่เหนือใคร
2.3 ไม่เห็นแก่ตัว ไม่ฉุนเฉียว ไม่ช่างจดจำควมผิด คือ การที่เห็นแก่ประโยชน์ของผู้อื่นมากกว่าตนเอง ไม่ยึดตัวเองเป็นจุดศูนย์กลาง ทำให้ไม่เห็นแก่ตัว ไม่ฉุนเฉียว และไม่ช่างจดจำความผิดของผู้อื่น

3.เป็นรักที่ชื่นชมยินดีในความชอบธรรม คือ ชื่นชมยินดีในสิ่งที่ผู้อื่นกระทำอย่างถูกต้องชอบธรรม แต่ไม่ชื่นชมยินดีหรือคล้อยตามเมื่อผู้นั้นกระทำผิด

4.เป็นรักที่เชื่อในส่วนดีและมีความหวังอยู่เสมอ คือ ความรักทนได้ทุกอย่างแม้ความผิดของผู้อื่น โดยเชื่อในส่วนดีของเขาเสมอ และมีความหวังอยู่เสมอ

ในหลายๆครั้งเราใช้คำว่า "รัก" กับ ความรัก เป็นข้ออ้างในการทำร้ายจิตใจกันและกัน ด้วยความไม่เข้าใจถึงความรักอย่างแท้จริง แต่กับความรักที่องค์พระผู้เป็นเจ้ามีต่อเราและได้บอกเราผ่านทางอัครทูตทั้งหลายนั้น เป็นความรักที่แท้ รักที่ไม่มีเงื่อนไขอย่างแท้จริง หากเรามองเห็นและเข้าใจในสิ่งที่พระเจ้าทรงให้เราด้วยความรักเหล่านี้ ข้าพเจ้าก็หวังใจได้ว่า ข้าพเจ้าจะไม่กลับไปเป็นหุ่นเชิดของมารร้าย ในโรงละครโลกที่โดนอุปโลกขึ้นมาโดยมารร้ายเหล่านั้น และกักขังข้าพเจ้าไว้อีก