คำตอบ...ใกล้กว่าที่คิด

วันนี้มาแนวแปลก และบันทึกยาวอีกแล้วครับท่าน เหมาะแก่การอ่านในเวลาที่พร้อมจะอ่าน


เคยเป็นไหม...เวลาที่ทำอะไรแล้วมันไม่เข้าท่า แต่เราไม่เคยรู้ตัวว่ามันไม่เข้าท่า จนเกิดเรื่องเกิดปัญหา เลยเพิ่งจะมาสำนึกสำเหนียกถึงสิ่งที่ได้ทำไป แล้วก็ไม่รู้จะแก้ปัญหาที่เกิดขึ้นอย่างไร...ผมเป็นบ่อยมาก


และเมื่อเรารู้สึกกดดันกับปัญหาที่เกิดขึ้นมากๆจนเกินพอดี ความเครียดอย่างรุนแรงก็จะบังเกิดตามมา แล้วทุกอย่างก็เหมือนกับว่ามันจะไม่มีทางไป ไม่มีทางออก เหมือนสัตว์ป่าที่เคยมีชีวิตอิสระเสรีแล้ววันหนึ่งต้องมาอยู่ในกรงขังหรือโดนกักบริเวณไว้ยังไงยังงั้น มันช่างเกินจะรับได้


แล้วพอตกอยู่ในสภาพนั้น เราจะทำยังไง เราจะทำอะไรได้ นอกจากหมกหมุ่นคิดวนเวียน เวียนวนอยู่อย่างนั้น เหมือนหันหน้าเข้าหากำแพงไม่มองไปทางอื่น แต่แล้วพอเราเริ่มมองออกไปจากตัวเองจากปัญหา ไม่เอาตัวเองเป็นจุดศูนย์กลาง ทันที ณ ตอนนั้น เราก็พบคำตอบแบบไม่คาดฝัน


ฟังแล้วเหมือนงมงายแต่เท่าที่ผมประสบพบเจอมาเวลามีปัญหาที่ยากจะได้คำตอบนั้น คือ ผมมักจะมองไปรอบๆตัว บางครั้งไม่ได้อยากดูโทรทัศน์ก็เปิด บางทีไม่ได้อยากฟังวิทยุก็ฟัง หรือไม่ได้อยู่ในอารมณ์ของการจะหยิบจับหนังสือสักเล่มมาเปิดอ่าน ก็อ่าน แล้วทุกครั้งก็ได้คำตอบ ซึ่งอาจจะไม่ได้ตรงตัวกับปัญหาที่เกิดขึ้นเป๊ะๆ แต่พอกลับมานั่งคิดถึงสิ่งที่เราได้ยิน ได้ฟัง ได้อ่าน มันก็บรรเจิดขึ้นมาโดยฉับพลันว่านี่แหละวิธีแก้ปัญหา จงทำซิ...แล้วจะรู้!


หลายวันมานี้ผมตั้งใจไว้ว่าต้องเลิกกินเหล้าโดยเด็ดขาด จากที่เคยกินบ่อยๆแม้จะไม่ถึงขั้นทุกวันแต่ทุกครั้งที่เมาก็คือ ทุกครั้งที่ชีวิตขาดหายไปเลย กลับบ้านยังไงไม่รู้ พูดอะไรกับใครไม่รู้ แสดงออกกับคนอื่นอย่างไรไม่รู้ บางทีจำชื่อคนที่เราคุยด้วยยังไม่ได้ด้วยซ้ำ...มันดีตรงไหน ผมก็ไม่เข้าใจ เหมือนจะไม่ต้องผูกผันกับอะไรหรือสิ่งใด แต่ทันทีที่เราแสดงออกซึ่งพฤติกรรมแปลกๆที่เกิดจากความเมาเหล่านั้นไปแล้ว ก็เชื่อได้เลยว่า กรรมได้ผูกผันตัวเราเองกับผู้อื่นและสิ่งอื่นไปแล้ว


ใจผมนั้นตั้งใจจริงที่ต้องเลิก แต่สิ่งที่ผมยังรู้สึกไม่วางใจก็เป็นใจตัวเองอีกนั่นแหละ แล้วผมก็เจอสิ่งที่เหมือนมายืนยันว่าสิ่งที่ตั้งใจนั้น ถูกต้องแล้ว จู่ๆผมก็เดินไปเปิดโทรทัศน์ เปิดขึ้นมาก็อยู่ที่ช่อง 5 เป็นรายการเจาะใจ แขกรับเชิญคือ คุณจิ๊บ ผู้เขียนหนังสือชื่อ หักหลังผู้ชาย และอีกหลายเรื่องหลายเล่ม สิ่งที่รายการได้ดำเนินไปนั้น เป็นสิ่งที่เกิดขึ้นกับตัวคุณจิ๊บซึ่งค่อนข้างอยู่เหนือความเป็นจริงที่จะเกิดขึ้นกับทุกคน และแม้ว่าศาสนาของผมไม่ได้บอกให้เชื่อเรื่องที่นอกเหนือจากพระเจ้า...แต่สิ่งที่ได้รับนั้น ผมกลับตีความว่า มันเป็นคำตอบของสิ่งที่ผมได้ตั้งใจทำ ว่าควรทำ และจงทำ เพราะความดีของคนๆหนึ่งจะเกิดขึ้นได้ต้องเริ่มที่ตัวเราก่อน คำตอบนั้นเด่นชัดจนแทบไม่ต้องไขว่คว้าหาจากที่ไหนอีก สิ่งที่เกิดขึ้นนี้ทำให้ผมนึกถึงประโยคที่ได้ยินได้ฟังบ่อยๆ ในศาสนาของผม คือ


"พระองค์มาทันเวลาเสมอ"

"พระองค์ให้โอกาสสำหรับผู้ที่กลับใจเสมอ"



สิ่งที่ผมบันทึกมานี้ ผมไม่ได้บอกให้คุณ เชื่อเหมือนที่ผมเชื่อ หรือเปลี่ยนศาสนามาเชื่อในแบบเดียวกันกับผม เพราะเมื่อกรรมที่เป็นบาปได้เริ่มต้นขึ้นแล้วไม่มีใครหนีพ้น...ต่อให้คุณเปลี่ยนไปอีกกี่สิบศาสนา คุณก็หนีสิ่งที่คุณก่อไว้ไม่ได้...


เพียงแต่หนทางต่อไปของตัวคุณเองนั้น คุณเลือกที่จะสานกรรมนั้นต่อ หรือตัดวงจรกรรมนั้นไป อะไรที่เคยทำก็ยังจำเป็นต้องรับผล แต่ชีวิตต่อจากนั้นเล่า หลังจากผลของกรรมตามทันแล้วเล่า ท่านจะทำอย่างไร จะหนีกรรมต่อไปด้วยการเพิ่มกรรมเลวอื่นๆ หรือจะหยุดกรรมเลวด้วยการกลับใจและเริ่มต้นสร้างกรรมดี...ในศาสนาของผมมีประโยคหนึ่งที่ได้อ่านจากหนังสืออื่นๆแต่ยังคงเกี่ยวกับศาสนาของผมที่ผ่านตานอกจากพระคัมภีร์แล้วนั้นคือ


"พระองค์ไม่ประสงค์ที่จะให้ใครสักคนหนึ่งภายใต้ฟ้าสวรรค์นี้พินาศ
แต่ประสงค์ให้คนเหล่านั้น ได้กลับใจ"



ใช่...ถ้าเป็นอย่างนั้นก็เป็นเรื่องควรแล้วไม่ใช่หรือที่จะกลับใจเมื่อยังมีเวลา กลับใจเมื่อยังมีโอกาส เริ่มจากเรื่องเล็กๆเรื่อยไปจนถึงเรื่องที่ยิ่งใหญ่ในชีวิตที่ควรทำ มันไม่น่าจะยากนะ...เพราะผมว่าทุกครั้งที่เราเกิดปัญหาที่บางครั้งยากเกินความเข้าใจ เพียงแค่เราลองมองออกไปรอบๆตัวแทนที่จะจมอยู่กับตัวเอง เอาตัวเองเป็นจุดศูนย์กลางของปัญหานั้นๆ คุณอาจพบคำตอบ จากข้อความบางอย่างที่เราเห็น หรือจากคำพูดของใครสักคนที่อาจบอกเราโดยที่เราไม่ได้รู้จักเขาเลย...เพราะไม่แน่สิ่งเหล่านั้นอาจถูกส่งมาจาก สิ่งที่อยู่นอกเหนือจากที่กายเนื้อของเราจะเข้าใจก็เป็นได้ และนั่นอาจเป็นหนทางที่จะทำให้เราไม่ต้องทนทุกข์กับลมหายใจที่เหลือไปจนวาระสุดท้ายของชีวิต หรือการเวียนว่ายตายเกิดไม่สิ้นสุด


ไม่ว่าจะมีชีวิตนิรันดร์ที่ไม่ใช่โลกนี้ หรือเข้าสู่นิพพาน หรือจะเรียกอะไรก็ตามแต่...ผมว่ามันก็คือการหลุดพ้นจากบ่วงกรรมทั้งนั้น อยู่ที่ว่าเราไปถูกทางในแบบที่ควรจะเป็นหรือไม่ ถูกทางตามแบบของศาสนาและความเชื่อของท่านหรือไม่ เพียงเท่านั้น


ขอบคุณทุกท่านที่เข้ามาและสนใจที่จะอ่านสิ่งที่ผมบันทึก ขอให้ทุกคนค้นพบคำตอบ ที่อาจอยู่ใกล้ตัวเราเวลามีปัญหา มากกว่าที่เราคิด มากกว่าการเผชิญปัญหานั้นเพียงลำพัง ขอบคุณครับ



โปรดใช้วิจารณญาณในการอ่าน เป็นความเชื่อส่วนบุคคลนะครับ

บาป

ข้าพเจ้าขอบอกไว้ก่อนเลยในบรรทัดแรกนี้ว่า วันนี้ข้าพเจ้าบันทึกหน้านี้ยาวมาก หากไม่อยู่ในอารมณ์ที่จะต้องอ่านแล้วเหมือนฟังเทศก็อ่านและขอให้ท่านได้ดียิ่งๆขึ้นไปในทุกๆด้านของชีวิตครับ


บาป 4 ชนิดที่ต้องเอาชนะ

1.บาปเพราะความเกลียดชัง
ความเกลียดชังนั้นเป็นบาปที่ร้ายแรง เพราะมันมักนำมาซึ่งความชั่วร้ายอื่นๆเสมอ อย่างน้อยก็ทำให้เรารู้สึกเป็นทุกข์ อย่างมากก็ต้องแตกหัก หรือตายกันไปข้าง แล้วคุณเคยเกลียดใครหรือสิ่งใดไหม เวลาคุณอยู่ใกล้ๆคนเหล่านั้นหรือสิ่งเหล่านั้นคุณรู้สึกอย่างไร หมั่นไส้ ขยะแขยง อยากเดินออกห่าง หรือถึงขั้นทำลาย ทำร้าย ประหัดประหารกันรึเปล่า


ความเกลียดชัง เป็นรูปแบบของความบาปที่เรามักเห็นในหนัง Hollywood ที่มีซาตานมาเกี่ยวข้องเสมอๆ เพราะความเกลียดชังทำให้ มารเป็นมารอยู่จนปัจจุบันกาล เมื่อเกลียดชังก็ตามมาด้วยความรู้สึกอิจฉาเมื่อคนที่เราเกลียดได้ดีกว่าตัวเรา พออิจฉาก็ตามมาด้วยริษยาคืออยากให้ตัวเราเป็นอย่างเขาด้วยวิธีการที่ไม่ถูก เพราะมัวแต่จะแก่งแย่งแข็งขันทั้งๆที่บางครั้งคนที่เราเกลียดเขานั้นอาจไม่รู้ตัวด้วยซ้ำมามีคนริษยาอยู่ เมื่อถึงจุดนี้ก็จะนำพาเราไปยังบาปชนิดที่ 2 บาปที่เราทุกคนล้วนมีด้วยกันทั้งสิ้น


2.บาปเพราะความกลัว

ความกลัว มักทำให้เราขาดการยับยั้งชั่งใจ ความกลัวทำให้คนเราเกิดความหวาดระแวง เมื่อระแวงก็เกิดความกังวล เมื่อกังวลก็เครียดและกดดัน และเมื่อถึงจุดที่เก็บกักสิ่งเหล่านี้ไว้ไม่อยู่ทุกอย่างก็ไม่ต่างอะไรกับ เขื่อนที่พังทลาย ภูเขาไฟที่ระเบิด แผ่นดินไหวที่รุนแรง หรือแม้กระทั่งซึนามิที่ถาโถมเขาใส่ผู้อื่นอย่างขาดสติ


ความกลัว เป็นสิ่งที่เราเห็นได้ดาษดื่น อย่างน้อยก็ในตัวเรา การแสดงออกซึ่งความก้าวร้าวรุนแรง การใช้กำลังเขาทำร้ายกันและกัน หรือทำลายสิ่งของรอบข้าง หรือแม้กระทั่งการทำร้ายจิตใจกันจะด้วยการกระทำหรือคำพูดนั้น ล้วนมาจากความอ่อนแอภายในทั้งสิ้น และจริงๆแล้วคนพวกนี้น่าสงสารมากเพราะต้องพยายามสร้างกำแพงล้อมกรอบตัวเอง ขังเพื่อไม่ให้ผู้อื่นเขามาถึงตัวถึงความอ่อนแอที่คนพวกนี้มี และความอ่อนแอนั้นก็เกิดจากความรู้สึกน้อยเนื้อต่ำใจซึ่งเป็นบาปในชนิดที่ 3


3.บาปที่เกิดจากความน้อยเนื้อต่ำใจ

ความน้อยเนื้อต่ำใจนั้นส่งผลกระทบกับตัวเองทางด้านจิตใจโดยตรง เพราะคนที่รู้สึกแบบนี้ตลอดเวลานั้นมักคิดและมองทุกอย่างในแง่ลบ มองว่าตัวเองไร้ค่า ไม่มีศักยภาพที่จะสร้างสรรค์อะไรขึ้นมาได้ด้วยตัวเอง แล้วบางคนก็เข้าสู่วังวนของสิ่งเสพติด


เมื่อกดตัวเองจนสุดหนทางแล้วก็ไม่พ้นที่จะทำร้ายตัวเอง หรือหนักกว่านั้นก็ทำร้ายทั้งตัวเองและคนอื่นไม่ว่าจะโดยทางตรงหรือทางอ้อม มัวแต่คิดว่าตัวเองเป็นไอ้ขี้แพ้ตลอดเวลาไม่นานก็นำไปสู่บาปชนิดที่4 บาปที่ทุกคนต้องเคยทำไม่ว่าจะตั้งใจหรือไม่ก็ตาม


4.บาปเพราะการทำผิด

คนเราทุกคนนั้นทำผิดกันได้ แต่หลังจากที่ทำผิดแล้วจำเป็นต้องรู้สำนึกถึงสิ่งที่ตนได้ทำและไม่ทำให้ความผิดนั้นเกิดขึ้นอีก แต่คนเราในปัจจุบันนี้หลายๆคนไม่ได้มีความสำนึกถึงความผิดที่ตนได้ทำอยู่เลย เพราะบางครั้งก็คิดอยู่แต่ว่าไม่มีใครรู้ไม่มีใครเห็น ทำผิดซ้ำๆซากๆอยู่ร่ำไปจนกลายเป็นนิสัย และฝั่งลึกลงไปในสันดานดั่งรากวัชพืชที่แทรกผ่านไปได้ทุกสถานที่ แผ่ขยายชอนไชจนไม่มีที่สิ้นสุด


เมื่อเป็นดังนั้นวงจรแห่งบาปทั้ง4นี้ก็จะวิ่งวนเป็นวัฏจักร และทำลายคนที่ไม่เคยสำรวจความบาปทั้ง4นี้ในตัวเอง กัดกร่อนความดีงามของตัวเอง พาลไปถึงผู้อื่น สิ่งอื่น สิ่งมีชีวิตอื่น และโลกใบนี้


จะเกิดอะไรขึ้นถ้ามีคนทำบาปมากกว่าทำดี...ข้าพเจ้าก็ไม่อาจบอกได้หรอกแต่ข้าพเจ้าว่าเมื่อถึงเวลานั้นก็ไม่สมควรเรียกเผ่าพันธุ์ของตัวเองว่าเป็นคนหรือมนุษย์อีกต่อไป และไม่มีสิทธิ์ไปเรียกสิ่งมีชีวิตอื่นๆว่าเดรัจฉานอีกด้วย เพราะคงไม่ต่างกัน


การให้อภัยจึงเป็นสิ่งสำคัญ ให้อภัยผู้อื่น ให้อภัยตัวเอง ให้โอกาสผู้อื่นและตัวเองได้กลับใจ ได้สำนึกถึงความบาปเหล่านี้ของตนเอง เพื่อวันหนึ่งเราจะได้ไม่ต้องตื่นขึ้นมาแล้วพบว่า เรากลายเป็นอะไรที่เราไม่ได้อยากเป็นและนั่งรอเพียงลมหายใจสุดท้ายของชีวิต



"ความบาปที่น่ากลัวที่สุดไม่ได้กระโจนเข้าใส่เราแบบฉับพลัน
แต่มันจะค่อยๆคืบคลานเข้ามายามเราเผลอตัวและใจ"


จบ



ปล. ข้าพเจ้าไม่ได้เคร่งศาสนาหรือเป็นเจ้าลัทธิอะไรนะ แค่อยากเขียนถึง ว่า บาป 4 ชนิด ก็รวมเอาบาปย่อยอื่นๆเข้าไปด้วยตั้งเท่าไหร่แล้ว จะสนหรือไม่ ท่านเลือกได้ ท่านเลือกเอง และบางทีท่านอาจเลือกแล้ว ขอบคุณครับที่อ่านจนถึงตรงนี้

ก็ยังเป็นตัวเอง

องวันมานี้ นั่งคิดวนเวียนถึงเรื่องที่เกิดขึ้นแบบวนไปเวียนมาหลายรอบ เหมือนประมาณว่าคิดไม่ตกอย่างนั้นแล้วจู่ๆก็มาบรรเจิดอยู่ที่ว่า แม้ว่าเราจะเลิกทำสิ่งหนึ่งเพื่อให้สิ่งอื่นๆและคนอื่นรอบตัวเราดีขึ้น แน่นอนนั่นก็หมายถึงตัวเราเองด้วย มันไม่ดีตรงไหน มันสูญเสียความเป็นตัวเองตรงไหน ไม่เลยมันไม่เปลี่ยน เพราะเราไม่ได้เปลี่ยนแปลงอีกทั้งเปลี่ยนไป เราแค่ปรับปรุงแค่นั้นเอง สุดท้ายตัวเราก็ยังเป็นของเรา ความคิดอ่านยังคงเป็นของเรา ความรู้ที่เรารู้ก็ยังเป็นของเรา แถมได้สติ และความสำนึกเพิ่มขึ้นอีกต่างหาก แล้วจะคิดวนเวียนให้มันวุ่นวายจนทำตัววกวนทำไม


ความมั่นใจที่มีก็ไม่ได้สูญสิ้น จินตนาการก็ไม่ได้ลดลง แล้วจะมัวเครียดอยู่ทำไม เดินออกไปเผชิญกับความผิดที่ได้ทำไว้ แล้วปรับปรุงตัวใหม่ ตัดนิสัยที่ไม่จำเป็นต้องทำก็มีชีวิตอยู่ได้ เผลอๆจะยืนยาวอีกด้วยไม่ดีกว่ารึ


นี่รึเปล่าที่เขาพูดกันว่า " การเผชิญหน้ากับปัญหา ทำให้เราเกิดปัญญา "ข้าพเจ้าว่าใช่นะ...!?


เอ๊ะ...หรือใครว่ายังไง เอ๊ะ...หรือไม่รู้ว่าข้าพเจ้าพูดถึงเรื่องอะไร เอ๊ะๆๆ...หรือข้าพเจ้าบ้าไปแล้ว


ช่างเหอะ...หุหุหุ

ความผิดพลาด

เป็นความผิดพลาดอันใหญ่หลวงสำหรับการทำผิดต่อคนที่เรารักและรักเราจนไม่น่าให้อภัย แต่ผมก็ยังคงต้องใช้คำว่าขอโทษสำหรับทุกอย่าง ขอโทษสำหรับพฤติกรรมเลวๆที่เกิดขึ้น ผมคงจะต้องเลิกกินเหล้าแบบถาวรตลอดไป ผมจะไม่แตะมันอีกนับจากนี้


สำหรับเพื่อนๆที่เคยโทรชวน หลังจากนี้โปรดจงรู้ไว้ว่า กูจะไม่กินอีกแล้ว พวกมึงเข้าใจกูหน่อยนะ กูทำให้คนที่รักกูต้องเสียใจมาเยอะแล้ว และถ้าพวกมึงยังคงเป็นเพื่อนกู ก็จงอย่าชวนกูกินอีก เพราะกูก็ไม่อยากเสียอะไรไปมากกว่านี้อีกแล้ว หวังว่าคงเข้าใจ


จากนี้ข้าพเจ้าจะเป็นคนของพระองค์ที่ดีให้ได้ นี่เป็นสิ่งที่หวังใจไว้ และหวังว่าพระเจ้าจะให้อภัยกับความผิดบาปที่เกิดขึ้น ข้าพเจ้าจะสวดอ้อนวอนขอการอภัยกับพระองค์นับจากนี้ไป และจะกลับใจใหม่ ข้าพเจ้าเข้าใจแล้วว่าการดื้อดึงกระทำความผิดบาปนั้น ไม่ทำให้ชีวิตของข้าพเจ้าดีขึ้นเลยแม้แต่น้อย และสิ่งที่พระองค์ทรงตีสอนนั้นก็ช่างรุนแรง แต่นั่นก็เป็นสิ่งสมควร ข้าพเจ้ารู้ว่า กลับไปแก้ไขความผิดพลาดที่เกิดขึ้นไม่ได้อีกแล้ว ทำได้เพียงจากนี้ต่อไปต้องทำตัวให้ดีขึ้นให้สมกับที่พระองค์ทรงเรียก ให้สมกับที่พระองค์จะให้อภัย ข้าพเจ้ารู้ว่าข้าพเจ้าเป็นคนบาปแต่ข้าพเจ้าไม่อยากเป็นคนที่ถูกลืมไม่ว่าจะจากพระองค์หรือจากใคร ข้าพเจ้าขอทูลวิงวอนต่อพระองค์ และขอพระองค์ทรงประทานอภัยให้กับข้าพระองค์ในนามแห่งพระพระมหาเยซูคริสต์เจ้า อาเมน


จากความผิดที่เกิดผมเครียดกับมันมากนะ ผมแสดงพฤติกรรมอันก้าวร้าวต่อหน้าคนที่ผมรัก และคนที่เขารักผม ผมไม่รู้จะมีหน้าไปพบเขาเหล่านั้นอย่างไรเพื่อแสดงความขอโทษ แต่ผมก็ยังคงอยากขอโทษสำหรับเรื่องที่เกิด หากเป็นไปได้คงไม่มีใครอยากให้เกิด แต่ตอนนี้ทุกอย่างดำเนินไปแล้ว กรรมที่ก่อจำเป็นต้องรับผล และผมจะยอมรับทุกอย่าง ที่ทำได้ตอนนี้ คือ ไม่ให้เกิดซ้ำอีก และตัดต้นเหตุของปัญหาไปให้สิ้น...พอแล้วสำหรับน้ำเปลี่ยนนิสัย มันไม่เคยทำให้ชีวิตดีขึ้นเลยสักครั้ง มีแต่ทำให้แย่ลง เลวลง และเลวลงไปเรื่อยๆ พอกันทีกับความเมามายที่ไม่ได้ช่วยให้อะไรดีขึ้น พอกันทีกับการสูญเสียเงินทองและทำให้ต้องสูญเสียความไว้เนื้อเชื่อใจของคนที่เขารักเรา พอกันทีกับชีวิตห่าเหวที่ตัวสร้างขึ้น พอกันทีกับชีวิตเส็งเคร็งในวังวนอโคจรทั้งหลาย พอกันทีกับพฤติกรรมเลวทรามที่เกิดขึ้นจากความเคยชินในการกินมัน พอกันที...


ไม่ว่าจะเกิดอะไรขึ้นจากสิ่งที่ผมได้กระทำไป ไม่ว่าผมเคยทำให้ใครเสียใจ ผมขอโทษ และรอรับการให้อภัย และถึงแม้สิ่งที่เกิดขึ้นไม่น่าให้อภัย ผมก็จะยังขอโทษและรอการให้อภัยอยู่อย่างนี้ตลอดไป เพราะผมรู้ว่ามันสาสมแล้วกับสิ่งที่ผมได้ทำไป ขอแค่เพียงยังมีโอกาสให้ผมได้ปรับปรุงตัวเองให้ดีขึ้นและดีขึ้น เพียงเท่านั้น


ขอโทษครับ