บันทึกหน้าที่หนึ่งของชีวิตใหม่ในพระหัตถ์ของพระเจ้า
เกือบสองเดือนมานี้ ข้าพเจ้าได้รับเชื่อในศาสนาคริสต์ นิกายโปเตสแตนท์(Protestant)ข้าพเจ้าได้รับอะไรหลายๆอย่าง ทุกครั้งที่ไปร่วมกลุ่มเพื่อสามัคคีธรรม และการไปโบสถ์ ทุกอย่างที่รู้สึกและรับรู้ภายในใจคือ ข้าพเจ้าไม่เคยโดดเดี่ยว ข้าพเจ้าไม่เคยต้องเดินคนเดียวมานานมากแล้ว เพียงแต่ข้าพเจ้ามิได้เหลียวมอง และรับฟังผู้ที่เดินเคียงข้างข้าพเจ้ามาตลอดระยะเวลาหลายสิบปี ทั้งๆที่ในหลายๆเหตุการณ์ หลายๆช่วงเวลาของชีวิต ข้าพเจ้าเหมือนจะรับรู้และสัมผัสกับพระเจ้าได้ โดยผ่านการอธิษฐาน ที่บางครั้งข้าพเจ้าเองก็ไม่รู้ว่ากำลังวิงวอนขอกับใคร
แต่พระองค์ก็ทรงรับฟัง...และพยายามที่จะเรียกข้าพเจ้าให้กลับไปหาพระองค์ กลับไปสู่ทางที่พระองค์ได้บอกผ่านผู้คนนับล้านๆที่แสวงหาอาณาจักรของพระองค์ เพื่อให้ข้าพเจ้าได้พบกับความรอด ได้เรียนรู้ที่จะพูดคุยกับพระองค์ อย่างที่พระองค์พยายามคุยกับข้าพเจ้ามาตลอด เพียงแต่ข้าพเจ้าไม่ได้ยิน หรืออาจได้ยินแต่ไม่ได้ฟัง
บัดนี้เมื่อข้าพเจ้าได้กลับเข้ามาในเส้นทางของพระองค์ หลายๆอย่างในชีวิตเปลี่ยนไปแม้จะไม่ได้เปลี่ยนแบบพลิกฝ่ามือ แต่ทุกอย่างก็เริ่มเปลี่ยนไปในทางที่ดีขึ้น ทั้งผู้คนรอบข้าง การเข้าสังคม การแต่งกายซึ่งข้าพเจ้าแทบไม่เคยแต่งกายสุภาพเลย ก็กลับทำให้ข้าพเจ้าแต่งกายดีขึ้น เป็นสุภาพชนมากขึ้น คิดในทางบวกมากขึ้น ใจเย็นขึ้น สบายใจมากขึ้น และหวังใจไว้ว่าทุกสิ่งอย่างที่เหมาะกับข้าพเจ้ากำลังได้รับการปรับเปลี่ยนในทางที่ดีขึ้นๆเรื่อยๆ
กลายเป็นว่าข้าพเจ้าอธิษฐานและพูดคุยกับพระเจ้าแทบทุกวัน และแทบตลอดเวลา ซึ่งนี่ยังเป็นเพียงช่วงแรก จำเป็นอย่างมากที่ข้าพเจ้าจะต้องหยั่งรากให้ลึกในคำสอน ในพระวจนะ ผ่านพระคัมภีร์ ผ่านการรับฟังคำสอนของผู้นำ ผ่านบทเรียนต่างๆที่ข้าพเจ้าจำเป็นต้องรู้ในการเป็นคริสเตียนที่เติบโตขึ้นในฝ่ายวิญญาณ และเชื่ออย่างสุดจิตสุดใจ สุดกำลังความคิด
ในวันอาทิตย์แรกของสัปดาห์ที่ข้าพเจ้าเกิดใหม่ กลายเป็นคนใหม่ ตอนที่เดินเข้าไปในโบสถ์ มีพี่น้องคริสเตียนที่ยืนต้อนรับด้วยรอยยิ้ม พวกเขายื่นแผ่นพับให้ข้าพเจ้าใบหนึ่งซึ่งภายในมี สรุปคำเทศนาในหัวข้อ "ความเชื่อ...พลังแห่งชีวิต" (ฮีบรู 11:13-16) เขาพิมพ์ไว้ว่า
ลักษณะของผู้ที่ดำเนินชีวิตด้วยความเชื่อ
1.เชื่ออย่างมั่นใจ คือ การเชื่อมั่นในใจ ในสิ่งที่พระเจ้าได้สัญญากับเราทั้งหลาย ถึงความรอด และการกลับคืนสู่อาณาจักรของพระองค์ เชื่อแม้ว่าจะยังไม่ได้เห็นว่าสิ่งที่เชื่อนั้นเกิดขึ้นต่อหน้าต่อตาเดี๋ยวนั้น บัดนั้น เชื่อในสิ่งที่ดีที่บอกกล่าวถึงเรื่องราวของพระองค์และอาณาจักรของพระองค์ รวมถึงสิ่งจำเป็นที่สามารถนำมาใช้ดำเนินชีวิตประจำวันของตัวเราได้ทั้งหมดเป็นอย่างดี และถูกต้องชอบธรรม
2.เชื่อแม้ยากลำบาก คือ แม้เราจะตกอยู่ในความทุกข์ยาก ลำบากเพียงใด จงรักษาความเชื่อนี้ไว้ ความเชื่อในพระเจ้า ในสิ่งที่พระองค์ได้ทรงนำทางเราไป ให้พระองค์เป็นแสงสว่างนำทางเราแม้ในยามที่เรามืดมิดที่สุดไม่ว่าจะเป็นทางร่างกาย หรือจิตใจ
3.เชื่ออย่างบากบั่น คือ ไม่หมดความเชื่อแม้สิ่งที่เชื่อจะยังไม่เกิดขึ้นหรือได้เห็น และไม่สงสัยในความเชื่อนั้น เพราะพระองค์ได้เตรียมแผนการที่ดีที่เหมาะสมกับเราไว้แล้ว เพราะพระองค์ทรงล่วงรู้ทุกสิ่งในจิตใจเรา ในความคิดเรา แม้เราจะไม่เอ่ยปากออกมาก็ตาม
4.เชื่ออย่างมั่นคง คือ เชื่อว่าในสิ่งที่เราเชื่อนั้น จะนำพาเราไปสู่สิ่งดีๆ ดีที่สุดที่พระองค์ได้ทรงจัดเตรียมไว้ให้กับเรา และหากสิ่งที่เราเชื่อถูกต้องและเหมาะสมแล้ว ก็เชื่อได้ว่า ท่านจะได้รับสิ่งดีๆจากความเชื่อนั้นแน่นอน
5.เชื่ออย่างเห็นคุณค่าของสิ่งที่เชื่อ คือ ยอมแลกทุกอย่างเพื่อความเชื่อ เพราะเห็นคุณค่าของสิ่งที่ตนเชื่อ นั่นคือ แผ่นดินสวรรค์ ที่ๆความเชื่อจะเป็นดั่งสะพานที่ทอดยาวขึ้นไปสูงสุดสู่อาณาจักรพระเจ้า
ทุกสิ่งอย่าง ทั้งที่พิสูจน์ได้และไม่ได้ ต่างเริ่มขึ้นจากความเชื่อและการตั้งคำถามที่ว่า "จะเป็นไปได้ไหม...ถ้า?" แต่กับความเชื่อที่เป็นพลังแห่งชีวิตนี้ ไม่ต้องพิสูจน์ หากความเชื่อนั้นเป็นสิ่งที่ดีและชอบธรรม ทุกอย่างเป็นไปได้ และพระองค์จะทรงประทานสิ่งนั้นๆแก่เรา
ข้าพเจ้าคิดว่าการเปลี่ยนความเชื่อของใครสักคนหนึ่งนั้นเป็นเรื่องยาก แต่เราลองสังเกตเด็กๆดูว่า เวลาที่เราพูดหรือเล่าเรื่องต่างๆให้ฟัง เขาจะเชื่อ และเชื่ออย่างสุดจิตสุดใจ ในสิ่งที่เราเล่าบอก แล้วท่านล่ะ จะมัวปล่อยให้ฝุ่นผงแห่งอายุขัยเกาะตัวเคลือบความเชื่ออยู่ทำไม ล้างมันออกให้ใสกระจ่าง ดังแก้วเจียรไน และเชื่ออย่างที่ได้กล่าวไปแล้วทั้งห้าข้อ ท่านคิดว่าท่านต้องสูญเสียอะไรเหรอ? ข้าพเจ้าขอบอกว่าไม่เลย มีแต่ได้ และได้ในสิ่งที่ ผู้คนอีกมากมายที่ขาดความเชื่อไม่เคยได้รับ...ก็นานเท่าไหร่แล้วที่ท่านไม่ได้แหงนหน้ามองฟ้า พูดคุยกับดวงดาว ก้อนเมฆ และสายลม ที่ๆพระองค์สถิตอยู่ ที่ๆพระองค์ได้ทรงสร้างขึ้น...
ชีวิตใหม่ในพระหัตถ์ของพระเจ้า#1
สมัครสมาชิก:
บทความ (Atom)