อารมณ์

ารมณ์...ความเป็นไปของจิตใจในขณะหนึ่งๆ อารมณ์เป็นส่วนประกอบสำคัญยิ่งของชีวิต อารมณ์ทำให้เราเป็นสุขได้อย่างยิ่งยวดพอๆกับที่ ทำให้เราเป็นทุกข์ได้แสนสาหัส เช่นกัน

แต่ถ้าคนเราขาดอารมณ์ ความรู้สึก คงไม่ต่างจาก เครื่องจักรหรือก้อนหิน

เมื่อเป็นเช่นนี้การควบคุมอารมณ์ที่มีอยู่นั้น จึงเป็นเรื่องยาก....เพราะอารมณ์เพียงชั่ววูบบางอย่าง อาจเปลี่ยนแปลงทุกสิ่งในพริบตา

การสังเกตอารมณ์ของตัวเองจึงเป็นสิ่งสำคัญ เพราะนั่นทำให้เรารู้ว่า...ควรจัดการกับมันยังงัย คนบางคนไม่สามารถควบคุมอารมณ์บางอย่างของตัวเองได้ เพราะทัศนคติ ประสบการณ์ของคนๆนั้น และอาจรวมถึง...การเลี้ยงดูปลูกฝังจากครอบครัวแตกต่างกันออกไป

อารมณ์มนุษย์นั้น น่ากลัว...และถ้าอารมณ์บางอย่างฝังรากลึกไปถึงกมลสันดาน ก็คงยากยิ่งที่จะแก้ไขพฤติกรรมที่แสดงออก...

การรับฟังตนเองจึงเป็นสิ่งที่สำคัญ เพราะถ้าแม้แต่ตัวเองยังไม่รับฟังตัวเอง ก็เป็นการยากที่จะเปิดใจรับฟังคนอื่น
และนั่นก็มักจะเป็นเหตุแห่งความไม่เข้าใจ ผิดใจกัน และเรื่องอารมณ์ก็จะเข้ามาเกี่ยวข้อง แล้วยิ่งถ้าอารมณ์ที่มีเหล่านั้นโอนเอียงไปด้วยอำนาจใฝ่ต่ำ...ความเสียหาย ที่เกิดจากการใช้อารมณ์อาจถึงขั้น หายนะ...ได้

หมั่นดูแลอารมณ์ของตัวเองให้ดี อย่าให้เตลิดจนดึงไม่กลับซะล่ะ

หมากรุก...หมากชีวิต

มากรุก...สำหรับผู้ที่เก่ง
อาจไม่ใช่เพียงแค่การรุกไล่ฝ่ายตรงข้ามจนลืมมอง
ถึงความสำคัญของตัวหมากในช่องอื่นไป
และการเดินหน้าไปด้วยตัวหมากใดๆบนกระดาน
เขาเหล่านั้น มักมองก้าวล่วงไปนับสิบตา...
และปิดทางเดินคู่ต่อสู้ควบกันไป

หมากรุกสำหรับฉัน...
แค่มองล่วงหน้าไป 3-5 ตา ก็ถือว่ามากแล้ว
และนั่น ฉันก็รู้ว่ามันยังไม่เพียงพอ
ที่จะทำให้ฉันชนะหมากกระดานที่ฉันเล่นอยู่ได้
แต่อย่างน้อย...ก็ไม่แพ้อย่างรวดเร็วเกินไป

แล้วหมากรุกของท่านล่ะ...
มองล่วงไปกี่ตาเดิน...หรือมองแค่ว่า
ฉันเดินไปตาไหนได้ฉันก็เดิน

บางครั้ง...ชีวิตก็เหมือนกับหมากรุก
ถ้าประสบความสำเร็จมากก็เหมือน รุกฆาต
ถ้ากำลังจะประสบความสำเร็จก็เหมือน ได้รุก
ถ้ายังต้องดิ้นรนอยู่ก็เหมือน ยังคงเดินวนเวียนและขบคิดอยู่ในกระดาน
ถ้าทำอะไรผิดพลาดก็เหมือน กำลังโดนรุก
ถ้าไม่ประสบความสำเร็จก็เหมือน โดนรุกฆาต

แต่...จงอย่าลืมว่า ถึงแม้เราจะอยู่ในสถานะสุดท้ายที่พ่ายแพ้
ก็ยังตั้งกระดานใหม่ได้เสมอ...แทนที่แพ้แล้วจะถอดใจ
เลิกเล่นหมากกระดานใหม่ และยอมรับความพ่ายแพ้อย่างหมดท่า


หมากรุก...หมากชีวิต ไม่ว่าจะกี่กระดาน
อย่าท้อที่จะเริ่มเล่น อย่าท้อที่จะเริ่มต้น
อย่ากลัวที่จะแพ้ และอย่าเลิกเล่นกลางคัน
เพราะทุก กระดาน จะทำให้เราเก่งขึ้น
เก่งขึ้น และเก่งขึ้น ไม่สิ้นสุด

แดนสวรรค์

น จีน และญี่ปุ่น นั้น
เชื่อเรื่องการเดินทางไปสู่แดนสวรรค์กันมากมาย
หลายคนเชื่อว่า พระโพธิสัตว์
ได้ตั้งสัตย์อธิฐานว่า เมื่อถึงกาลอันควร
พระองค์จะเสวยชาติเป็นพระอมิตฺพุทธ
อยู่ในแดนสวรรค์
และผู้ที่เชื่อมั่นจะเดินเข้าสู่ นิพพาน
อันเป็นบรมสุขได้ง่าย...

หญิงชราคนนึง มีความเชื่อและเลื่อมใสในพุทธศาสนา
กำลังเดินไปตามถนนอย่างมุ่งมั่นในอะไรบางอย่าง
ระหว่างทางเดินสวนกับนักบวชรูปหนึ่ง

นักบวชถามหญิงชราผู้นั้นว่า
"กำลังตั้งหน้าจะไปสวรรค์หรือโยม"

หญิงชราพยักหน้า
นักบวชจึงกล่าวขึ้นอีกว่า
"อ๋อ...พระ อมิตฺพุทธ
คงกำลังรอโยมอยู่ที่นั่นแล้วกระมัง"


หญิงชราสั่นศีรษะ
นักบวชจึงถามกลับไปว่า
"อ้าว...ถ้าพระอมิตฺพุทธไม่อยู่ในแดนสวรรค์แล้ว
พระองค์อยู่ที่ไหนล่ะโยม"


หญิงชรายิ้ม แล้วชี้นิ้วไปที่หัวใจของนาง
แล้วเดินจากไป

นักบวชเบิกตากว้างพร้อมรอยยิ้ม และพึมพำด้วยความพอใจว่า

"นี่แหละ ชาวสวรรค์ที่แท้ล่ะ"



จากหนังสือ โยคะพบเซ็น ของ เทรเวอร์ เล็กเก็ตต์
แปลโดย สมิทธิ์ จิตตานุภาพ
สำนักพิมพ์ หนังสือเล่มเล็ก เมษายน พ.ศ.2531





ากเรื่องเล่าข้างต้น บ่งบอกไว้อย่างชัดเจนมาก
ถึงความเชื่อที่เหมือนอยู่นอกเหนือความเป็นจริง
แต่ในคำตอบตอนท้ายนั้น ทำให้ทุกอย่างกระจ่างชัด
เสียยิ่งกว่าความจริงใดๆ

แดนสวรรค์ เราจะเสาะแสวงหาให้มันรู้สึกห่างไกลทำไม
ในเมื่อ แดนสวรรค์นั้นอยู่ใกล้แค่ปลายนิ้วชี้ถึง
ใกล้แค่เอามือกุมมันไว้ได้ และอยู่อย่างเป็นสุข

แล้วแดนสวรรค์ของท่านล่ะ อยู่ที่ใด...
ข้าพเจ้าไม่ได้ถามนะ...ข้าพเจ้ากำลังบอกท่าน

เทาอ่อน กับ เทาแก่

วรรค์ อาจเป็นแค่กล่องสี่เหลี่ยมเล็กๆ ที่ฝังตัวอยู่ในจิตใต้สำนึกของคนเรา เพื่อเอาไว้ใส่ความดี...ก็เป็นได้



และในทางกลับกัน

นรก ก็อาจเป็นเพียงกล่องใบเล็กๆ ที่ฝังตัวอยู่ในจิตใต้สำนึกของคนเรา เพื่อเอาไว้ให้เราได้สำนึกถึงสิ่งผิดๆที่เราได้ทำไว้ทั้งกับตัวเองและคนอื่น ก็เป็นได้...

เข้าทำนอง สวรรค์อยู่ในอก นรกอยู่ในใจ

คงไม่มีใครดีไปทั้งหมดและเลวไปทั้งหมดแต่ในสองสิ่งนี้...เพียงเราเท่านั้นที่เลือก เลือกให้ชีวิตเป็นสีเทาอ่อนหรือเทาแก่ เพราะคงไม่มีใคร ขาว หรือ ดำ เพียงสีเดียว

เทาอ่อน เกิดจากสีขาวที่เจือสีดำเพียงน้อยนิด
เทาแก่ เกิดจากสีดำที่เจือสีขาวเพียงน้อยนิด


เพราะคงไม่มีใคร ดีเลิศในโลกนี้ มีเพียง คนที่เลวน้อยที่สุด กับเลวมากจนกู่ ไม่กลับ


เลือกได้นี่...ก็เลือกซิ

รัก คือการให้โดยไม่หวังผลตอบแทน

รัก คือการให้โดยไม่หวังผลตอบแทน จริงเหรอ ที่ไม่หวังอะไรเลย ถ้าอย่างนั้น...

คุณเสียใจทำไม เวลาที่เขาไม่มาหา เพราะคุณหวังว่า...เขาจะมา
คุณเสียใจทำไม เวลาที่เขาห่างเหิน เพราะคุณหวังว่า...เขาจะเอาใจใส่
คุณเสียใจทำไม เวลาที่เขามีคนใหม่ เพราะคุณหวังว่า...เขาจะเป็นของคุณคนเดียว
คุณเสียใจทำไม เวลาที่เขาไม่รัก เพราะคุณหวังว่า...เขาจะรัก

มีใครบ้างที่รักแล้ว ไม่ต้องการให้...เขามาดูแลเอาใจใส่
มีใครบ้างที่รักแล้ว ไม่ต้องการให้...เขามีแต่คุณคนเดียว
มีใครบ้างที่รักแล้ว ไม่ต้องการให้...เขารักคุณบ้างเลยสักนิด

"ขอเพียงแค่นี้" / "เท่านี้ก็พอ" / "ชั้นไม่ต้องการอะไรมากไปกว่านี้"
เหล่านี้เป็นกำแพงที่เราสร้างขึ้น เพื่อยับยั้งความต้องการของเราเอง
การยับยั้งความต้องการ มันเป็นความทรมานจากการห้ามความรู้สึกตัวเอง
หลอกตัวเองว่าอย่ารักมากไปกว่านี้เลย ทั้งๆที่ความจริงก็รักไปแล้วหมดหัวใจ

รักและคิดถึง เมื่อรักแล้วก็ต้องคิดถึง
เวลาที่คิดถึง คุณมีความสุขหรือเปล่า
ความคิดถึงกับความโหยหา ต่างกันตรงไหน?
เวลาที่ชั้นคิดถึงใคร ชั้นแอบคิดเสมอว่าเขาจะคิดถึงชั้นอยู่บ้างไหม

"ความรัก" เหมือนกาแฟ ขมแต่ก็อร่อย
"ความรัก" เหมือนกุหลาบ สวยงามแต่ก็มีหนามแหลม
"ความรัก" เหมือนสายลม พัดมาเย็นสบาย แล้วก็จากไป
"ความรัก" เหมือนเปลวเทียน สว่างไสว ร้อนแรงแต่สุดท้ายก็เผาตัวเองจนหมดไป

จริงเหรอที่...รัก คือ การให้
...โดยไม่หวังผลตอบแทน

จิตรกรไส้แห้ง กับ ร่างทรงอิ่มท้อง

ข้าพเจ้าชอบที่จะได้ทำงานศิลปะ
อยากเป็นจิตรกร และได้วาดรูปขายนำเสนอความคิดผ่านภาพวาด
งานที่ทำๆก็ไม่ได้สวยไปกว่าใครในโลกศิลปะที่มีอยู่
หลายแขนงของศิลปะวิชาการต่างๆ
การยึดมั่นในอุดมการณ์ และทัศนคติบางอย่าง
ก็ทำให้ข้าพเจ้าต้องอดทน...

อดทนต่อสภาพความเป็นอยู่ และการดำเนินชีวิตประจำวัน
ใช้เพียงจินตนาการกับประสบการณ์ทั้งหลาย
ถ่ายทอดออกมาเป็นตัวงาน ให้ได้รู้สึกอิ่มตา อิ่มใจ
แต่ไม่อิ่มท้อง...หุหุหุ

กับอีกด้านที่ไม่ได้ชอบแต่ก็จำเป็นต้องทำ
การทำงานที่ไร้ความชอบก็เหมือนการทำตัวเอง
เป็นร่างทรง...มีอีกตัวตนเข้ามาสิงประทับร่าง
เพื่อหาเลี้ยงปากท้อง และแม้ไม่ชอบ
ก็ยังต้องทำ...เพราะถ้าไม่ทำก็ อดตาย

แต่หากเลือกได้...((ซึ่งเลือกไม่ค่อยได้))
หากในโลกนี้ไม่ได้มีเรื่องปัจจัยทางวัตถุมากมาย
หากไม่ต้องขวนขวายตะเกียกตะกายจนเกินพอดี
อย่างเช่นทุกวันนี้ ข้าพเจ้าก็ยังคงเลือกเป็น
จิตกรไส้แห้ง ที่อิ่มใจ อยู่วันยังค่ำแหละ

เราเกิดมาในยุคของการเป็นทาสพวกสวมเสื้อนอก
ทำงานที่ไม่ชอบแทบเป็นแทบตาย
เพียงเพื่อได้เงินมาซื้อของที่เราชอบ
ทุนนิยมที่ไม่มีวันสูญพันธุ์ไปจากโลก
ราคาค่าครองชีพอยู่เหนือศีลธรรมจรรยา
เหนือความรักและความเป็นครอบครัว
มีแต่ผลประโยชน์มาเกี่ยวตลอดเวลา

สยามเมืองยิ้ม...
อีกหน่อยจะให้ใครยิ้มต้องจ่ายตังค์ก่อนอย่างแน่

- -"

CARE...

CARE...คำๆนี้หลายๆคนใช้บ่อยจนบางที ไม่ได้นึกถึงความหมายของมัน เท่าที่ควรจะเป็น...

CARE...แปลว่าการดูแลเอาใจใส่ เป็นห่วงเป็นใย

ซึ่งใครหลายๆคนลืมเลือนคำๆนี้ไปจากหัวใจ หลายๆคน ปล่อยให้คำๆนี้เป็นแค่ ลมปากเป่า ทั้งๆที่ความหมายนั้น ยิ่งใหญ่

การดูแลเอาใจใส่ ไม่ได้หมายความว่า ต้องเกาะติดอยู่กับคนที่เราห่วงใย แต่แค่ความรู้สึกและการแสดงออกที่ ไม่ต้องหวือหวา และทำตัวเหมือนกระตือรือร้น(overzealous)มากจนเกินเหตุ จนดูเหมือนเสแสร้งแกล้งทำ จนออกนอกหน้า...ก็น่าจะเพียงพอแล้วที่คนอีกคนจะรับรู้ได้...และไม่กลายเป็นความน่ารำคาญ

คนสมัยนี้ ไร้ความรักที่แท้จริง ไร้การดูแลเอาใจใส่ที่แท้จริง เพราะต่างคนต่างอยากให้คนอื่นมาดูแลเอาใจใส่ตัว จนลืมไปว่า เขาหรือเธอ ก็ต้องการเช่นกัน

แต่ลองมองกลับกัน...บางคนกลับกลายเป็นเรียกร้องการดูแลเอาใจใส่จนเกินพอดี เกินระดับที่ควรจะเป็น มันกลายเป็นการก่อกวน และความน่ารำคาญอย่างร้ายกาจ กลายเป็น สงครามโรคจิต ระหว่างฝ่ายที่อยากได้ กับฝ่ายที่ให้มากเกินไป...ก็เลยกลายเป็นว่า...ทั้งสองฝ่ายต่างก็ทำเพื่อเพียงให้ตัวเองรู้สึกว่าได้ทำ ซึ่งมันไร้สาระ สิ้นดี...

แล้วใครที่เสียความรู้สึก...จากคำที่มีความหมายนี้ ก็คนที่อยู่ระหว่าง 2 ฝ่ายนี้

...ก็คนที่ไม่ได้อยากให้ จนออกนอกหน้า และคนที่ไม่ได้อยากได้ จนเกินพอดี...

อยากเป็นคนดี จงอย่าคิดว่าตัวเอง ดีพร้อม
ปล่อยให้มันเป็นไปเอง...อย่างธรรมชาติ

สัมผัสอันอ่อนโยน

สัมผัสอันอ่อนโยน หมายถึงอะไร

มันหมายถึงการมีความรู้สึกนุ่มนวลกับสรรพสิ่ง กับผู้คนรอบข้าง กับสิ่งที่เราจับต้องและสัมผัส ไม่ใช่เพราะสิ่งต่างๆเหล่านั้นเป็นของท่าน แต่เพราะท่านเห็นความงามอันเป็นพิเศษของสิ่งต่างๆเหล่านั้น

ดอกไม้มีความสวยงามตามธรรมชาติ เมื่อท่านสัมผัสความงาม ด้วยสายตาของท่านก็น่าจะเพียงพอแล้วที่จะดื่มด่ำกับความงามนั้น แล้วทำไมเราต้อง เด็ดทึ้งดึงกระชากดอกไม้ดอกนั้นออกมาจากต้น เพียงเพื่อได้สัมผัสมันเพิ่มขึ้นอีกหน่อยแค่นั้นเองหรือ

หากในโลกนี้เหลือดอกไม้อยู่เพียงดอกเดียว ท่านจะเด็ดดอกไม้ดอกนั้น เพียงเพื่อเก็บไว้ชื่นชมคนเดียวอย่างนั้นหรือ ท่านไม่อยากเผื่อแผ่ความงามที่จะปรากฏต่อสายตาของผู้อื่นบ้างหรือ...เมื่อท่านสัมผัสถึงสิ่งต่างๆอย่างลึกซึ้ง ท่านย่อมไม่ทำลาย ไม่ทำร้ายสิ่งต่างๆ หรือผู้อื่น นั่นคือความอ่อนโยน และความรักอย่างจริงใจต่อสิ่งต่างๆเหล่านั้น

แต่เราให้ความหมายแก่ความรักกันอย่างไร หากท่านรักคนๆหนึ่งเพราะเขารักท่าน นั่นไม่ใช่ความรัก ความรักเป็นความรู้สึกอันพิเศษที่มีต่อผู้อื่น โดยปราศจากการเรียกร้องสิ่งใดๆตอบแทน นั่นหล่ะ

สัมผัสอันอ่อนโยน ที่ทำให้เกิดความรักที่แท้จริง

ความสามัญ ขั้น สามานย์

ด้านมืดของคนที่อาจดูเงียบเชียบ สงบนิ่ง แต่พร้อมที่จะกระโจนออกมาใส่ใครก็ได้ในชั่วอึดใจ

ความมืด...ประโยชน์ที่มีของมันเพียงอย่างเดียวคือ การทำให้หลับใหล...แต่ในที่นี้อาจหมายถึง การครอบงำส่วนดีๆของตัวเรา ให้มืดบอดลง โดยฉับพลัน และสิ้นเชิง

มันฝังตัวอยู่นิ่งๆและรอเวลา...ที่แค่ใครสกิดเบาๆมันจะพร้อมกระโดดตะครุบในทันทีกัดกินจิตใจที่ดีงาม จนหมดสิ้น...ทำให้มืดบอดทางความคิด...ด้วยอารมณ์ชั่ววูบ สร้างความเสียหาย อย่างใหญ่หลวงในเสี้ยววินาที ที่มันปรากฏกายออกมา

ด้านมืด ความชั่วที่ฝังรากในสันดาน ของความเป็นสัตว์ในร่างมนุษย์...สัตว์ประเสริฐของพระเจ้าที่ไร้ซึ่งสำนึก และสติ...

ความสามัญ ขั้น สามานย์ ที่มีอยู่ทุกผู้ทุกนาม...ระวังมันไว้ให้ดี...อีกด้านของตัวเรา...


เฝ้าดูมันให้ดีๆ
ก่อนที่มันจะมีอำนาจเหนือตัวเรา

หน้ากากแห่งรัก

ปัญหาส่วนใหญ่ที่ไม่มีทางหลีกเลี่ยงได้ คือ เวลา...เวลานั้นไม่เคยหยุดนิ่ง ความรู้สึกแรกรัก จึงมักเปลี่ยนไป เมื่อเวลาผ่านไป เพราะคนเรา หนีธาตุแท้ของตัวเองไม่พ้น ไม่นานสิ่งที่ซ่อนไว้ของตัวเราจากสายตาคนอื่น ก็จะปรากฏออกมา...

ความสัมพันธ์ ของคน 2 คน จะยืดยาวหรือไม่นั้น ขึ้นอยู่กับ ความเป็นตัวของตัวเอง อย่างที่เป็น... แสดงออกให้กันและกันเห็นให้มากที่สุด ในตอนเริ่มแรก เพื่อดูว่าอีกฝ่ายรับที่เราเป็นเราได้มากน้อยแค่ไหน ไม่ใช่ใส่หน้ากากเข้าหากัน ด้วยการพยายาม
เป็นอะไรที่ไม่ได้เป็น...

เพราะเมื่อเวลาผ่านไป...และความจริงปรากฏ ทุกสิ่งจะมีอันต้อง จบลงอย่างที่ไม่ควรจะเป็น

ภาพลักษณ์นั้น อาจสำคัญ เพราะมันทำให้ตรึงตาต้องใจ และดึงดูด ฝ่ายตรงข้าม แต่ ภาพลักษณ์ ที่ถูกปรุงแต่ง... นั้นไม่ดีเลย...มันทำให้เกิดความรู้สึกดีๆในช่วงแรกเพียงเท่านั้น สุดท้าย เมื่อทุกอย่าง ที่เป็นเรา เปิดเผย การไม่ยอมรับก็มักจะตามมา

ความจริง ข้าพเจ้าเคยบันทึกไปแล้วว่า ความเป็นจริงในชีวิตบางครั้งมันดูเพี้ยน ทุกสิ่งทุกอย่างล้วนผิดเพี้ยนไปจากที่หวัง ผิดเพี้ยนไปจากที่ฝัน สีผิดเพี้ยน รูปทรงผิดเพี้ยน ทุกอย่างเพี้ยนไปหมด แต่นั่นล่ะ เสน่ห์ของมัน เสน่ห์ของความเป็นจริง ไม่ต้องมีอะไรมาแต่งเติม ไม่ต้องพยายาม ทำให้มันดีเลิศ ความเป็นจริง ดำเนินไปในรูปแบบของมันเอง อย่างที่มันเป็น...

แต่คนเรามักหลีกเลี่ยง ความจริง เพราะความกลัว... กลัวว่าจะไม่เป็นอย่างที่หวัง อย่างที่ฝัน

บางครั้ง คนที่โดนหลอก ไม่ใช่ว่าคนๆนั้นไม่รู้ แต่...ยอมให้หลอก เพื่อ ค้นหาความจริงอะไรบางอย่าง ยอมแม้กระทั้งให้ความจริงใจกับอีกฝ่ายก่อน เพื่อสุดท้ายก็ได้คำตอบที่ รู้อยู่แล้วว่า สิ่งที่เกิดขึ้นทั้งหมด เป็นเพียงภาพลวงตา

แต่ก็อย่างว่า คนเรามักชอบอยู่ในจินตนาการ มากกว่าจะยอมรับ และเปิดใจ กับความจริง เพราะอะไร...เพราะสิ่งที่คนเรารับรู้มักถูกแต่งเติมด้วย จินตนาการของ ตัวผู้รับรู้เอง ความหมายที่แท้จริงจึงผิดเพี้ยน

ครั้นจะให้ผู้บันทึกหรือข้าพเจ้า บอกไปตรงๆ ผู้อ่าน ก็คงไม่ได้รับอะไรกลับไปคิดเลย ซึ่งมันก็จะกลายเป็นแค่


คำพูดคำบ่นบ้าๆบอ
ของคนเพี้ยนๆคนนึง เพียงเท่านั้น....

ดวงตาเป็นหน้าต่างของหัวใจ

ความชอบส่วนตัวอย่างนึงของข้าพเจ้าในการวาดรูป คือ ข้าพเจ้าชอบวาด ดวงตา เกือบทุกรูปของข้าพเจ้าที่วาดมา ในชีวิต มักมีดวงตาอยู่ในภาพเสมอๆ...ทำไมนะเหรอ?

ข้าพเจ้าว่า ดวงตาคนเราเป็นสิ่งที่น่าหลงใหลที่สุด ในร่างกายมนุษย์ ฟังดูเหมือนโรคจิต...แต่มีคำพูดอยู่คำนึงที่ อธิบายได้ค่อนข้างชัดเจนว่า

"ดวงตาเป็นหน้าต่างของหัวใจ"

มันบ่งบอกความนัยได้ว่า หากอยากรับรู้ให้ลึกซึ้ง ถึงตัวตน อารมณ์ความรู้สึก กับใคร ดวงตาบอกได้ ถึง 90 เปอเซ็นต์

(ค่านี้ เจ้าของบล็อคกำหนดเอง ไม่มีใครไปวิจัยหรอกนะ)

เวลาข้าพเจ้าคุยกับใคร ข้าพเจ้าชอบมองตาคนๆนั้น ไม่ใช่แกล้งทำเป็นอยากฟัง...แต่มองเพื่อให้รู้ว่า สิ่งที่เขาพูดนั้น เขาอยากให้เรารับฟังมากแค่ไหน

ข้าพเจ้าไม่ค่อยชอบคุยโทรศัพท์ เพราะแค่น้ำเสียง อาจทำให้อารมณ์ผิดเพี้ยนได้ แต่ถ้าได้คุยต่อหน้า...ข้าพเจ้ารับความรู้สึกทางด้านอารมณ์ได้เต็มที่ เมื่อเรารับอารมณ์ความรู้สึกของคนที่เราพูดคุยได้เต็มที่ เราก็ตอบสนองทางอารมณ์กับผู้ที่เราพูดคุยได้อย่างถูกต้อง

หลายคนชอบหลบสายตาเวลาคุยกัน อาจเพราะอะไรหลายอย่าง เขินอาย เก็บงำความลับอะไรบางอย่าง หรือแม้กระทั่งกำลังโกหก

มันไม่มีความจำเป็นเลยที่ต้องทำแบบนั้น แค่เราเปิดใจพูด แม้เรื่องๆนั้นจะผิดพลาดใหญ่หลวง แต่ความจริงใจที่แสดงออกมาผ่านทางสายตานั้น อาจทำให้คนอื่นรับรู้ได้ถึงสิ่งที่เราสำนึกในความผิดพลาดนั้น

เปิดใจ ผ่านดวงตา กันนะ
คนรักกันพูดคุยกัน มองตากันนะ
ไม่เข้าใจกัน ปรับความเข้าใจกัน มองตากันนะ
มองให้ลึกผ่านเข้าไปถึงก้นบึ้งของหัวใจ...

จะได้เข้าใจกันด้วยใจ...ไม่ใช่แค่คำพูดที่ผ่านลิ้นออกมา

8 ใน 10 ของข่าว

นั่งฟังข่าวทางโทศทัศน์ 10 ข่าว เป็นข่าวฆ่ากันตายซะ 8 นี่มันเกิดอะไรขึ้นกับ จิตใจของคนเราในปัจจุบันเนี้ย พ่อฆ่าลูก ลูกฆ่าแม่ เมียฆ่าผัว ผัวฆ่าเมีย คู่อริฆ่ากัน คนไม่รู้จักกันฆ่ากัน(ตกลงอยู่ประเทศไทย หรือ เท็กซัส วะเนี้ย)

ทำไมความเป็นคนมันต่ำลงๆทุกวัน ในขณะที่ความเป็นสัตว์ พุ่งกระฉูดในสันดานได้มากขนาดนี้ ไม่น่าเชื่อจริงๆว่าเมืองพุทธ เมืองยิ้ม อย่างไทยจะกลายเป็นแหล่งเพาะเชื้ออาชญากรได้มากขนาดนี้

ยิ่งอยู่ยิ่งดำดิ่งลงไปใกล้ปากเหวนรกทุกที ไม่มีการกลัวบาปกรรม ทำชั่วเป็นอาจิณ หาความสร้างสรร มีไม่ คิดแล้วมันปวดใจ ทำไมคนยุคปลายของศตวรรษที่ผ่านมา ทำตัวเยี่ยงสัตว์ได้ขนาดนี้แล้วยุคต่อไปล่ะ รุ่นต่อๆมาล่ะ...มันจะเลวร้ายขนาดไหน

คงเข้าสู่กลียุคแล้วจริงๆกระมัง ตามคัมภีร์และตำราหลายเล่มที่ได้อ่านผ่านตามาว่า มันเริ่มเกิดแล้ว และสถานการณ์ทั้งหลายก็เริ่มส่อเค้าไปอย่างนั้น แล้วคนอย่างฉันจะทำอะไรได้ อย่างน้อยก็ได้แค่นั่งดูความเป็นไปที่เลวร้ายขึ้นทุกวันอยู่อย่างนี้ ไม่ก็เขียนบ่นอยู่แบบนี้

เฮ้อ...มนุษย์เขาไว้เรียกคนที่ใจสูง ส่วนอย่างเราๆมันคงเรียกได้แค่ ฅน เท่านั้นแหละ

เปลี่ยนโหมด ที่ไม่ค่อยหนีห่างจากโหมดเดิม... หลายวันนี้นั่งอ่านหนังอ่านหนังสืออยู่เล่มนึงชื่อว่า

เลี้ยงลูกอย่างไร ไม่ให้เป็นฆาตรกร ของคุณ สรจักร ศิริบริรักษ์ ฉบับพิมพ์ครั้งที่ 5 สำนักพิมพ์มติชน ซึ่งตอนนี้ไม่รู้ว่า ยังมีวางขายตามร้านอีกหรือไม่ แต่อยากให้ได้ลองหามาอ่านกัน ซึ่งหน้าปกนั้นมีคำโปรยหัวว่า

ฆ่าเชื้อ 'ฆาตกร' ก่อนการก่อตัวใน 'ครอบครัว' ที่คุณรัก

และท้ายปกหลังว่า

เป็นอุทาหรณ์เตือนใจ และข้อควรระแวง สำหรับทุก 'ครอบครัว' ทั้งคน 'มีลูก' และคนที่ 'เป็นลูก' เพื่อป้องกันการเกิดซ้ำรอย

เนื้อหานั้นเป็นการเล่าเรื่องของคดีความต่างๆที่เกิดขึ้นไปแล้ว บอกที่มาที่ไปของบุคคล ทั้งที่เป็นฆาตกรและเหยื่อ แถมด้วยการวิเคราะห์หาสาเหตุแห่งการฆ่าของบุคคลเหล่านั้นซึ่งโดยส่วนใหญ่ก็มักเกิดจากปมในวัยเด็กจากการเลี้ยงดูที่ไม่ถูกไม่ควร บ่มเพาะสายพันธุ์แห่งอาชญากรที่ก่อคดีอันน่าฉงนและสยองขวัญ

เท่าที่ข้าพเจ้าอ่าน ทั้งเล่ม ร่วมร้อยศพได้มั้งหรืออาจเกินกว่านั้นจากอาขญากรเพียงไม่กี่ราย ที่มีตั้งแต่เด็กยันผู้สูงวัยที่เป็นฆาตกรและมีตั้งแต่เด็กยันผู้สูงวัยอีกเช่นกัน ที่เป็นเหยื่อ...

ลองหามาอ่านดูนะ จะได้ไม่เลี้ยงใครให้วิปริตผิดมนุษย์ หรือทำตัวขาดสติ จนตัวเองทำอะไรที่...มนุษย์ไม่สมควรทำ

อดีต

ความคิดที่ว่าเราเป็นอะไรนั้น...อาจดูขบขันสำหรับผู้คนรอบข้าง ความเชื่อว่า เราดำรงอยู่ในวิถีทาง ที่เราเลือก อาจดูไร้สาระ ในความคิดของคนอื่น แต่การที่เราเชื่อมั่นว่าเราเป็นอะไรนั้น มันทำให้เรารู้ว่า อย่างน้อย เราก็ไม่ทรยศต่อความคิดและความรู้สึกของตัวเอง มันต่างจากการหลอกตัวเอง เพราะเรายึดมั่นในการกระทำทั้งหลายของเรา ด้วยวินัยที่เคร่งครัดของเราเอง อย่างมีหลักการและไม่ได้ถูกครอบงำโดยผู้อื่น


ว่ากันว่า เราเป็นใคร ขึ้นอยู่กับว่า เราเคยเป็นใคร...และทำอะไรมาในอดีต แต่อดีตคืออะไร?

สิ่งที่เคยเกิดขึ้นจริง หรือเฉพาะสิ่งที่เราอยากจดจำ


อดีตของเราเป็นเพียงภาพที่วิ่งอยู่ในหัว แต่ความเป็นจริงแล้วเราไม่สามารถจดจำภาพเหตุการณ์ทั้งหมดที่เกิดขึ้นได้ เรามักเลือกจำเฉพาะเหตุการณ์ที่ทำให้เรารู้สึกมีประสบการณ์มากขึ้น ทำให้เรารู้มากขึ้นเท่านั้น มันทำให้เราถูกบดบังจากความจริง เพราะความรู้ทั้งหลายในโลก ไม่ได้ทำให้เราสัมผัสได้ถึงสิ่งที่บอกกล่าวผ่านตัวอักษร การมองเห็นธรรมชาติภายนอกผ่านหน้าต่างในห้องแคบๆ กับการที่เราเดินออกไปสัมผัสกับธรรมชาติโดยตรงนั้น ประสบการณ์แห่งการรับรู้ ย่อมต่างกันโดยสิ้นเชิง และนั่นทำให้เรารู้ว่าตัวตนของเราการกระทำของเราต่างหาก ที่เป็นสิ่งกำหนด ความทรงจำของเรา เป็นสิ่งกำหนดอดีตของเรา และทำให้เราเป็นอย่างที่เป็นอยู่ในปัจจุบัน...

แรงเฉื่อยของความรัก

ใครหลายคนรักแล้ว แรกเริ่ม ก็มีแรงผลักดันให้ทำอะไรต่อมิอะไรมากมาย จนดูเหมือนทุกสิ่งที่ทำ แค่ เธอ กับ ฉัน เท่านั้น

แต่แล้วเมื่อเวลาผ่านไป แรงผลักดันต่างๆนั้นก็ลดน้อยถอยลง เหมือนมีแรงต้านอย่างอื่น มาทำให้เราต้องกระเด้งกระดอนไปที่อื่น จนลืมว่ามี เธอ...

พอนานวันเข้า แรงผลักดันก็กลายเป็นแรงเฉื่อย เฉยชา ใส่กัน ไม่กระตือลือร้นที่จะรักกันเหมือนแรกเริ่มปล่อยให้ความรัก ดำเนินไปตาม ยถากรรม

ล่วงเลยไป จนแรงเฉื่อย หมดลง แล้วทุกสิ่งทุกอย่างก็หยุดนิ่ง ทั้งความรัก ความเอาใจใส่ อย่างที่คนรักควรจะทำเมื่อแรงหมดลง ทุกสิ่งก็จบลง...ไปด้วย

หากข้าพเจ้าจะเปรียบ ความรักเหมือนการปั่นจักรยาน...จะผิดมั้ย ที่บางครั้ง ทางที่เราปั่นไป มีทั้งทางขึ้นที่สูงชันและทางลง ที่ลาดชัน...

เมื่อต้องปั่นขึ้นทางที่สูงชัน แรกเริ่ม ดั้นด้นปั่นอย่างไม่ลดละ เพื่อขึ้นไปให้ถึงจุดหมาย พอถึงจุดหมาย แรงที่ใช้ปั่นก็แผ่วลงจนราบเรียบ...ไม่ต้องพยายามมากนัก แต่ยังต้องปั่นเพื่อเดินหน้าแต่พอนานเข้า ทุกสิ่งเหมือนทางลงที่ลาดชัน ไม่ต้องปั่น มีแต่คอยเบรคเพื่อชลอ จนบางทีหยุดนิ่ง หรือบางคน ปล่อยให้มันดิ่งลงเร็วเกินกว่าจะควบคุมได้ สุดท้าย ก็...หยุดไม่อยู่

ความรัก...ควรมีแรงผลักดันด้านอารมณ์อยู่เนืองๆเพราะมันทำให้เรารู้ว่า เราควรดำเนินความรักไปอย่างไรไม่ใช่ ปล่อยให้มันกลายเป็นแรงเฉื่อย ที่สุดท้ายหมดลงอย่างที่ไม่ควรจะเป็น...

วันที่บอกรักครั้งแรก...จำได้มั้ยว่า เลือดสูบฉีดเข้าออกที่หัวใจแรงขนาดไหนจำมันไว้ซิ...อย่าให้ความเฉยชา กลายเป็นสิ่งอุดตันเส้นเลือดที่หล่อเลี้ยงหัวใจจนทำให้มันหยุดเต้น...

รักหล่อเลี้ยง ดวงฤทัย ให้ชุ่มชื่น
รักทำให้ ตัวเราตื่น จากฝันร้าย
รักใช่เพียง แค่มีคน ที่ข้างกายแต่
รักต้อง ให้หัวใจ ใกล้ชิดกัน

สองเป็นหนึ่ง เฝ้าอิงแอบ แนบชิดใกล้
รวมดวงใจ เฝ้าดูแล อย่างแข็งขัน
คอยถนอม ซึ่งความรัก กันและกัน
ไม่แปรผัน กลายเป็นรัก มิรู้ลืม

ใจสองใจ ต่างที่ ต่างทางมา
ลิขิตพา ให้มาคบ พบกันได้
เฝ้าเพียรถาม เฝ้าคอยบอก รักหมดใจ
อย่าให้ใคร ต้องหมางเมิน เกินทานทน

ความรู้สึก อารมณ์รัก นั้นบางเปราะ
เพียงกระเทาะ อาจแตกหัก เกินประสาน
จงดูแล รักษา รัก ให้เนิ่นนาน
ใช่คอยผลาญ อารมณ์ใจ มิใยดี

มนุษย์

อารมณ์...ใครๆก็บอกว่ามันทำให้เราต่างจากสัตว์โลก อารมณ์มนุษย์ มีมากมายหลายหลาก จนบางครั้งแม้แต่เจ้าตัวก็แยกแยะไม่ออก เพราะอารมณ์ มักอยู่นอกเหนือเหตุผลและเกินกว่าที่ คำพูด และ ตัวอักษร จะบรรยายความได้หมด

ความรู้สึก...ใครๆก็บอกว่ามันทำให้เราเป็นมนุษย์ บางคนแข็งกร้าว เพราะความรู้สึก บางคนอ่อนไหว เพราะความรู้สึก บางคนมั่นใจ เพราะความรู้สึก บางคนลังเล เพราะความรู้สึก และอีกสารพัด

หัวใจ...ใครๆบอกว่ามันเป็นอวัยวะที่บอบบางที่สุด เป็นอวัยวะที่ทำให้เรายังคงมีชีวิตดำรงอยู่ หลายๆคนยังคงอยากให้มันเต้นเร้าอยู่ในทรวงอกต่อไปแต่กับหลายคน อวัยวะนี้ ทำให้เขาต้องทนทรมาน

จิตใจ...ใครๆหลายคนชอบเอาไปปนกับหัวใจ จริงๆแล้วจิตใจ เป็นส่วนประกอบหนึ่งที่ทำให้เกิด อารมณ์ และ ความรู้สึกหลายคนชอบที่จะถนอมจิตใจกันและกันแต่หลายคนชอบทำร้ายมัน ทำให้มันเป็นอะไรที่ไร้ค่า

ความคิด...ใครๆบอกว่ามันทำให้เรามีวิวัฒนาการเขาเรียกอีกอย่างว่า สมอง หลายคนใช้ความคิดสร้างสิ่งดีๆให้กับโลก หลายคนใช้มันเพื่อทำลายความคิดส่วนใหญ่เป็นของบุคคลนั้นๆและจะเป็นอยู่เช่นนั้นจนกว่าจะมีใครมายัดเยียดความคิดอื่นเข้าไปในรอยหยักของสมองเรา

การกระทำ...ใครๆบอกว่าเป็นการแสดงออกซึ่งพฤติกรรม บางคนแสดงออกอย่างธรรมชาติ แต่บางคนกลับเสแสร้งและในบางครั้งบางคราว ก็จำเป็นที่จะต้องกระทำในสิ่งที่ไม่อยากทำเพราะ อารมณ์ ความรู้สึก หัวใจ จิตใจ และความคิด ช่างขัดแย้งกันเหลือเกิน

การเกิดเป็นมนุษย์น่ะ ง่ายดาย แต่การดำรงชีวิตเยี่ยงมนุษย์นั้น ยากเย็นซะเหลือเกิน...

จะโทษใคร

คนเราถูกกำหนดแผนการไว้ให้แล้วตั้งแต่เกิด จริงเหรอ?

งั้นเราก็แค่จัดการกับแผนการที่เรามีอยู่ให้เข้ารูปเข้ารอย...เท่านั้นเอง อย่าเขวกับสิ่งรอบตัวมากนัก มุ่งตรงไปตามแผนการ ให้ถึงจุดมุ่งหมายนั้นโดยไม่เดือดร้อนใคร และอย่าให้ใครมาทำให้เราเดือดร้อน

แต่ในความเป็นจริง ผู้คนที่เรามีปฏิสัมพันธ์ด้วย ไม่ว่าจะทางกาย วาจา ใจ ล้วนทำให้เราเขวทั้งนั้น แล้วเราจะประคองตัวตนของเราให้เข้าสู่จุดหมายที่ตั้งไว้ยังไง ผลกระทบทั้งหลาย ที่ผ่านเข้ามาในชีวิตคนๆนึง ตั้งแต่จำความได้...ก็ทำให้เราสูญเสียทุกอย่างที่เป็นเราไปเกือบหมดสิ้นแล้ว

เราจะแคร์คนทั้งโลกทำไม...ถ้าเราไม่เคยซักครั้งที่จะแคร์ตัวเอง
เราจะรักคนทั้งโลกทำไม ในเมื่อเราไม่เคยซักครั้งที่จะรักตัวเอง

ทุกสิ่งทุกอย่างควรเริ่มที่ตัวเราเอง...เราต้องรู้จักตนเองก่อนก่อนที่อยากจะให้คนอื่นมารู้จักเรา หรือก่อนเดินออกไปเพื่อรู้จักคนอื่น

ทุกสิ่งดำเนินไปตามกาลเวลา ไม่ใช่กาลเวลาที่เดินตามทุกสิ่งเวลาไม่ได้เปลี่ยนแปลงเรา แต่เราต่างหากที่เปลี่ยนแปลงไปตามเวลาถ้าจะโทษอะไร ควรเป็นตัวเรา ไม่ใช่เวลา หรือผู้คนรอบข้าง

เวลาเป็นเพียงแค่ พระอาทิตย์ที่ขึ้นทางทิศตะวันออก และตกทางทิศตะวันตกแค่นั้น...ไม่ได้มีเงื่อนไขหรือสมการอะไรซับซ้อน แต่ชีวิต มีเงื่อนไขมากมาย...เพราะตัวเราสร้างมันขึ้นมา กักขังตัวเอง ถ้าอย่างนั้นการมีชีวิตก็ช่างยุ่งยากและลำบากนัก ลำบากเพราะตัวเอง...ยุ่งยากเพราะตัวเอง แล้วในที่สุด หายนะทั้งหลายในชีวิตก็เป็นเพราะตัวเอง

ฉะนั้นอย่าไปโทษใคร อย่าว่าร้ายใครเลย ว่าตัวเองให้มาก และพยายามปรับปรุงตัวเองให้มาก ดีกว่าเสียเวลามานั่งโทษใครต่อใคร

คนดีชอบแก้ไข คนจัญไรชอบแก้ตัว

อย่าลืมซะล่ะ ไอ้ตัวตนของตัวเอง

ว้าเหว่

ความว้าเหว่คืออะไร บางคนอาจจะไม่คุ้นเคยกับคำคำนี้แต่หลายคนซึมซาบกับความรู้สึกนี้เป็นอย่างดี สาเหตุของความว้าเหว่ จริงๆแล้วก็มาจากความเบื่อหน่าย

คนส่วนใหญ่ มีความรู้สึกเบื่อหน่าย เพราะเขาไม่รู้แนวทางของการดำเนินชีวิตอยู่ตามลำพังความว้าเหว่ กับ การอยู่คนเดียวตามลำพัง มีความแตกต่างกันมากความว้าเหว่ เกิดจากความว่างเปล่าในจิตใจ แต่การอยู่ตามลำพัง คือการไม่ต้องการพึ่งพาใครไม่ต้องการการปลอบโยน หรือ พอใจที่ได้อยู่คนเดียว

การเผชิญหน้ากับความว้าเหว่ จะทำให้เรารู้สึกกังวล เราจึงพยายามหนีมันด้วย แนวทางต่างๆนาๆด้วยเพศสัมพันธ์ ด้วยการทำงาน ด้วยการดื่ม ด้วยการเขียนบทกวี หรืออื่นๆ

ลองกล้าที่จะเผชิญกับความรู้สึกว้าเหว่ดูบ้างซิ แล้วเมื่อผ่านมันไปได้ก็จะรู้ว่า ความเจ็บปวดที่เกิดจากความว้าเหว่นั้น แท้จริง มันทำอะไรเราไม่ได้เลยเพราะมันเป็นความรู้สึก ที่เรากังวลไปเอง และ แค่รับไม่ได้ที่จะอยู่คนเดียว

หัดอยู่คนเดียวดูบ้างจะได้ฟังเสียงของหัวใจตัวเองตั้งคำถาม และ ให้คำตอบ กับตัวเอง แล้วจะรู้จักตัวเองมากขึ้น มากขึ้น และ มากขึ้น

เมื่อเรารู้จักตัวตนเราเองแล้ว การรู้จักคนอื่นก็เป็นเรื่องที่ไม่ยากเกินไปการรู้จักคนอื่น ไม่ใช่ รู้จักชื่อของเขา รู้จักบ้าน หรืองานที่เขาทำแต่รู้จักเขาที่เขาเป็นเขา และแสดงออกซึ่งความเป็นตัวตนที่แท้จริงของเราให้เขารู้จักได้อย่างไม่เขอะเขิน ไม่หลอกหลวง ไม่ต้องสร้างตัวตนใดๆขึ้นมาปิดบังตัวเองอีกตลอดไป และตลอดกาล

แค่ความคิดเจ้าของบล็อค...ที่ใกล้จะเป็นฤาษีเข้าไปทุกวันแล้ว อิอิอิ

อยู่คนเดียวอ่ะดีจะตาย สุนทรีย์แม่งไปเรื่อย
ใครรับได้ก็รับ รับไม่ได้ก็ไม่ต้องรับ
เพราะอย่างน้อยๆเราก็รู้ว่า ตัวเราเป็นใคร

๑๗.หุ่นเชิดในโลกความจริงเสมือน

มานั่งนึกๆดูว่า ยิ่งเรียนรู้ปรัชญามากเท่าไหร่ซึมซับมันมากเท่าไหร่...ยิ่งเหมือนไม่รู้อะไรเลย ทุกอย่างกลายเป็นเรื่องในอุดมคติไปหมด

มองทุกอย่าง...แปลกตาไปหมด ต้นไม้ ไม่เป็นต้นไม้อีกต่อไป แต่กลายป็นอย่างอื่น ผู้คนรอบข้าง กลายเป็นคนแปลกหน้าไปหมด ความจริง ความไม่จริง กลายเป็นเรื่องเดียวกัน

รู้แต่เพียง ตัวเองมีตัวตนอยู่จริง ณ ที่ที่ตัวเองอยู่ แต่ก็รู้สึกไร้ตัวตน เมื่อก้าวผ่านไปอีกโลกนึง โลกแห่งความจริงเสมือน...ที่สร้าง อุปทานทางสายตาทุกอย่างเป็นจริง แต่จับต้องไม่ได้...ก้าวข้ามไปไม่ได้...เหมือนทุกอย่างเป็นแค่ภาพลวงตา

มันเหมือนทำให้ตัวเราเองสร้างอีกตัวตนขึ้นมาเพราะ สภาวะที่ยอมรับตัวเองไม่ได้ หรือเกลียดตัวเอง...ในโลกแห่งความจริง ทำให้เดินหลงเข้าไปสิงอยู่ในโลกที่ไม่มีวันอยู่ได้จริง

เหมือนเวลานั่งส่องกระจกเราเห็นภาพตัวเราเอง ในสิ่งที่ตรงกันข้ามกับความจริง ขวาเป็นซ้าย ซ้ายเป็นขวา กลับด้านกันไปหมด แต่เราก็ยังเชื่อว่ามันเป็นจริง...คนในกระจกเป็นเราจริงๆ

แต่กลับไม่ใช่...สภาวะความเป็นอื่น นี้น่าสับสน และอาจ ยากเกินกว่าจะเข้าใจ สำหรับใครบางคนรวมทั้งตัวฉันเอง...ทำไมคนเราต้องสร้างอีกตัวตนเพื่อปกปิดตัวตนจริงๆของเราด้วย...

มันทำให้ฉัน กลายเป็นใคร ที่ไม่ใช่ฉัน...

ยอมรับ

ชีวิตไม่ใช่ความคงที่สิ่งต่างๆในโลกไม่คงที่ความเปลี่ยนแปลงมีอยู่เสมอ

ท่านเคยสังเกตต้นไม้ไร้ใบที่ยืนเด่นตัดกับฉากของท้องฟ้ามั้ย มันมีความสวยงามอย่างไรบ้าง ท่านเคยสังเกตมั้ย กิ่งก้านของมันจะเด่นชัด ชัดเจน และสภาพที่ไร้ใบของมันมีบทกวี และบทเพลงปรากฏอยู่ในทุกๆใบไม้ที่ร่วงหล่นไป

รอคอยจนฤดูใบไม้ผลิมาถึง ต้นไม้จะอิ่มเอิบเบิกบานไปด้วยเสียงแห่งบทกวี และบทเพลงบทใหม่ รอคอยการร่วงหล่นลงไปอีกครั้ง...เมื่อฤดูใบไม้ร่วงมาถึง...วนเวียนซ้ำแล้วซ้ำเล่า

นี่คือวิถีแห่งชีวิต

ความมั่นคงต่างๆที่คนเราพยายามสร้างขึ้นมาด้วยชื่อเสียง เงินทอง...มันไม่ต่างอะไรกับการสร้างกำแพงล้อมกรอบตัวเอง

เมื่อถึงฤดูกาลแห่งชีวิตร่วงโรย...เราจะยังยืนอยู่ได้อย่างไร
เมื่อถึงฤดูกาลแห่งชีวิตเบ่งบาน...เราจะรักษามันไว้ตลอดไปได้อย่างไร

คำตอบ คือ เป็นไปไม่ได้ เพราะไม่มีอะไรในโลกนี้คงที่

ยอมรับกับความเปลี่ยนแปลงที่ต้องเกิดขึ้น

ยอมรับมัน...

เพื่ออย่างน้อย เราจะได้รู้สึกสูญเสียน้อยกว่าที่ควรจะเป็น...

พลัง...

พลัง ความสัมพันธ์ระหว่าง สติ กับ สัญชาตญาณ แรงขับเคลื่อนที่ทำให้เรามุ่งมั่นที่จะก้าวไปข้างหน้าด้วยความกล้าหาญเด็ดเดี่ยว และยังเป็นตัวเสริมสิ่งที่เรียกว่า แรงบันดาลใจ ให้เราสร้างสรรทุกสิ่ง

แต่นั่นย่อมหมายความถึง อุปสรรค ที่จะตามมาด้วยซึ่งมันก็มักบั่นทอน พลัง ในตัวเราเสมอๆ จนบางครั้งอาจทำให้เราสูญเสียความเชื่อที่ว่า...ในตัวเราทุกคนมี พลัง แอบแฝงอยู่อย่างมากมายกว่าที่คิด

พลัง(Power) ตัวแปรสำคัญ ที่ทำให้เกิดการวิวัฒน์(Evolution) ทั้งทางบวก และลบ ทั้งทางที่ดีขึ้น และทางที่เสื่อมลงส่วนการวิวัฒน์นั่นจะไปทิศทางใด และจุดจบจะเป็นอย่างไรก็อยู่ที่คนผู้นั้น จะเลือกใช้...พลัง

สร้างสรร หรือ ทำลาย

เลือกเอา

การแชร์ความรู้สึก...

เวลาที่เรารู้สึกโดดเดี่ยวเหมือนอยู่คนเดียวในโลก...การได้แชร์ความรู้สึกกับใครสักคนคงเป็นเรื่องดีที่สุด...ที่พอจะทำให้เราก้าวข้ามผ่านช่วงเวลาที่โดดเดี่ยวนั้นได้

การที่ความรู้สึกของเราได้มีคนรับรู้และใครคนนั้น...ซึ่งอาจกำลังรู้สึกเหมือนเราหรือเคยรู้สึกเหมือนเรา เข้าใจว่าเกิดอะไรขึ้นคงเป็นความรู้สึกที่ดีที่ทำให้เราได้รับรู้ว่าเราไม่เคยโดดเดี่ยว...

หากเป็นเช่นนั้น...ความโดดเดี่ยวก็ไม่มีในโลก

ดังนั้น จริงๆแล้วเราไม่ได้ไร้ตัวตนแต่ก็เป็นตัวเราเองอีกนั่นแหละที่หลบลี้หนีหน้าใครต่อใครรวมถึงหนีตัวเองด้วย...แล้วเราจะหนีตัวเราเองพ้นได้ยังงัย คำตอบคือไม่มีทาง...

แต่ถึงแม้การแชร์ความรู้สึกจะไม่สามารถทำให้ใครรับรู้และเข้าถึงความเป็นตัวเราได้...

อย่างน้อยๆ ใครคนนั้น ก็ถือว่าเคยหันมาเหลียวมอง ความรู้สึกของเราแล้ว มันก็ยังดีกว่า...ไม่มีแม้ใครสักคนที่จะชำเลืองหรือเหลียวมอง ความรู้สึกของเราเลย

การแชร์ความรู้สึก...

อืมม...มันทำให้ฉันยิ้มได้ที่ได้แชร์ความรู้สึกแม้ว่ายังคงเหมือนอยู่คนเดียวในโลกความเป็นจริง

สำเร็จสมบูรณ์แบบ

ก้าวย่างอย่างเรียบง่าย แต่พอเพียงดีกว่าวิ่งล่าไปจนสะดุดหกล้ม และทำให้ที่มีอยู่ไม่เพียงพอ

เวลาเดินถือแก้วน้ำที่มีน้ำในแก้วเต็มปริ่มอยู่เรามักเดินอย่างระวัง เพราะกลัวน้ำจะกระฉอกหกเลอะเทอะออกนอกแก้ว จริงมั้ย คงไม่มีใครบ้าวิ่งถลาไปข้างหน้าแบบสุดตัวหรอก(หรือว่ามี)

มันก็เหมือนกับบางครั้งเรามั่นใจอะไรมากๆแล้วเดินหน้าเต็มตัวโดยไม่เผื่อเหลือ ไว้ให้ความผิดพลาดและผิดหวังสุดท้ายทุกสิ่งที่ทำก็พังไม่เป็นท่า

มีคำกล่าวของนักบวชนิกาย เซ็นโซโตะ อยู่ว่า

"ความสำเร็จเพียงแปดในสิบส่วน เรียกว่า สำเร็จสมบูรณ์แบบ"

ซึ่งอาจอธิบายได้ดังนี้

จงทำงานของท่านทุกอย่างให้ดีแต่ไม่ต้องดีมาก เพราะ ถ้าท่านทำสิ่งใดได้ดีมากคนอื่นๆก็ย่อมต้องรู้สึกถึงความด้อยกว่าแต่แทนทีเขาเหล่านั้น จะปรับปรุงงานของเขาให้ดีขึ้นก็กลับกลายเป็นว่ามานั่งหาข้อบกพร่องของงานเราถ้าหาไม่ได้ในงาน ก็จะพาลมาหาข้อบกพร่องของตัวเราแทนและอีกสิ่งที่จะตามมาจากการที่เราทำอะไรดีมากเกินไปก็คือ การลืมตัว และนั่นจะเป็นจุดบอดของตัวเราที่คนอื่นจะใช้ทำลายเราได้ในที่สุด

ฉะนั้น จงทำงานให้ดี ก็เพียงพอ ไม่ต้องดีมากเพราะถ้าท่านทำงานดีมาก ท่านก็ต้องระวังให้มากตามไปด้วยแล้วเมื่อท่านระวังมากเกินไป ความระแวงก็จะเกิดขึ้นสุดท้าย ความทุกข์ก็จะมาเยือน และจบลงที่ผลกระทบต่างๆที่ปรากฏในงานของท่าน จนทำให้ตกต่ำ

ความจริง

ความเป็นจริงในชีวิตบางครั้งมันดูเพี้ยน ทุกสิ่งทุกอย่างล้วนผิดเพี้ยนไปจากที่หวังผิดเพี้ยนไปจากที่ฝัน สีผิดเพี้ยนรูปทรงผิดเพี้ยน ทุกอย่างเพี้ยนไปหมด

แต่นั่นล่ะ เสน่ห์ของมันเสน่ห์ของความเป็นจริง ไม่ต้องมีอะไรมาแต่งเติมไม่ต้องพยายาม ทำให้มันดีเลิศความเป็นจริง ดำเนินไปในรูปแบบของมันเองอย่างที่มันเป็น...

แล้วทำไมจะต้องพยายามยอมรับมัน ในเมื่อจริงๆยอมรับมันได้อยู่แล้วความเป็นจริงอาจดูรุนแรง เจ็บปวดเกินกว่าจะรับได้แต่ไม่ใช่เลย...ความจริงเป็นสิ่งที่ยอมรับง่ายที่สุดในโลกถ้าเราไม่ปิดกั้นตัวเราเองที่จะรับ...ถ้าเพียงแค่เรา เปิดใจรับมันแค่เสี้ยว วินาที

ความเป็นจริง ทำให้เราเป็นอิสระอิสระจาก สิ่งเพ้อฝัน จากสิ่งที่เราสมมุติขึ้นอิสระจากทุกสิ่ง...

มันเป็นยาใส่แผลชั้นเลิศของทุกอย่าง ที่แม้จะเจ็บปวดในตอนที่เริ่มต้นทาแผลแต่มันทำให้ แผลไม่เรื้อรัง และหายเร็วขึ้น

ยอมรับมันเถอะ...ความเป็นจริง

หากว่าเพียง แค่ปิดกั้น ยังยกได้
อย่าให้กลาย เป็นปิดตาย จากทุกสิ่ง
ใช้ชีวิต ดั่งก้อนหิน ไม่ไหวติง
แล้วทุกสิ่ง จะงอกงาม ได้อย่างไร

เปิดที่กั้น ก้าวเดินออก เผชิญหน้า
แม้นรู้ว่า จะเจ็บปวด อย่าคาดหวัง
ใช้แรงกาย และแรงใจ เป็นพลัง
ลบความหลัง ที่ขังใจ ให้เลื่อนลาง

ทุกชีวิต ต้องก้าวย่าง ไปข้างหน้า
ต้องฟันฝ่า อุปสรรค คณานับ
หากมัวอยู่ แต่จุดเดิม ไร้แรงขับ
แล้วจะจับ สิ่งมุ่งหวัง ได้อย่างไร

สร้างแรงใจ เป็นพลัง ให้กล้าแข็ง
สู้สุดแรง ด้วยพลัง อย่างสร้างสรร
สิ่งดีดี ต้องมีมา เข้าสักวัน
ถึงฝั่งฝัน ด้วยโสภา สถาพร

ไวรัสโลก

เมื่อหนึ่งน้ำธารากาศแรกหยดลงบนผืนพิภพก่อกำเนิดสิ่งมีชีวิตแรก คลืบคลาน และว่ายเวียนวิวัฒน์แตกหน่อ ไปตามที่ต่างๆหลายแสนหลายล้านสายพันธุ์แยกขึ้นบก บ้างบินสูง บ้างดำดิ่งสู่ทะเลลึกและยังวิวัฒน์ไม่หยุดยั้ง

จนเปลวเพลิงแห่งพิโรธฟ้าถาโถมลงใส่ล้างเผ่าพันธุ์ใหญ่จนหมดสิ้นสลายกลายเป็นเถ้า บ้างฝังกลบด้วยฝุ่นดินทราย หิน และโคลนกลายเป็นทรัพยากรให้เผ่าพันธุ์ใหม่ได้ใช้งาน

สิ่งมีชีวิตที่รอด เกิดวิวัฒน์ก้าวกระโดดกลายเป็นเผ่าพันธุ์ที่เรียกว่ามนุษย์แก่งแย่งแข่งขันในทุกทางเพื่อผลประโยชน์พวกพ้องพงศ์พันธุ์จนลืมว่าต้องสละไปเท่าไหร่เพื่อให้มีวันนี้วันที่มนุษย์ ได้ใช้ทุกอย่างของโลกจนเกินขอบเขตสร้างภัยพิบัติให้ก่อเกิดขึ้นทั้งคลื่นยักษ์ พายุใหญ่ อุทกภัย โลกร้อน อดอยากไปถ้วนทั่ว...ทุกหย่อมหญ้า

อีกนานแค่ไหนที่โลกยังจะให้เราได้อยู่ได้อาศัยจะเหลืออีกกี่รุ่น ที่ยังจะมีชีวิตอยู่ได้ต่อไป

อยู่ที่รุ่นเราใช่มั้ย...ที่จะสร้างรุ่นต่อไปให้เท่าทันภัยธรรมชาติที่กำลังโถมถล่มคร่าชีวิตให้ล้มหายตายจากไปเรื่อยๆ

โลกกำลังจะหมดอายุขัยแล้วด้วยเชื้อโรคร้ายที่แพร่กระจายไปทั่วไวรัสเดียวที่รักษาไม่หายของดาวเคราะห์ดวงนี้

มนุษย์...

๑๖.หุ่นเชิดกับความเต็มใจโง่

ข้อเสนอ ที่เราเองไม่ได้หยิบยื่นกับเงื่อนไข ที่อยู่ในข้อเสนอนั้นอาจดูเป็นทางการ...และจำเป็นต้องมีสัญญาผูกมัด

แต่หลายๆครั้งที่คนอย่างฉันทำไปโดยไม่หวังผลอะไรมากไปกว่าการที่ผู้หยิบยื่นข้อเสนอนั้นๆจะทำตามที่ตัวเขาเองได้เสนอมาบ้างนั่นเพราะเงื่อนไขในข้อเสนอเหล่านั้นฉันเต็มใจที่จะทำ และเต็มที่กับมัน

แต่กลายเป็น สิ่งที่ตอบกลับมาคือการไม่ทำตามข้อเสนอที่เขาเหล่านั้นที่หยิบยื่นให้ก็อาจใช่ ที่มันเป็นแค่สัญญาใจ ที่ไม่เป็นลายลักษณ์อักษรก็ฉันไม่ชอบการผูกมัด ด้วยผลประโยชน์ใดๆแต่ต้องเกิดจากความเต็มใจทั้งสองฝ่ายเป็นอันดับแรกและดูเหมือนเป็นความคิดโง่ๆ ของหุ่นเชิดอย่างฉันเองที่ซึ่งสุดท้าย ก็มักลงเอยที่ 'ฉัน' ถูกหักหลัง ซ้ำแล้วซ้ำเล่า

ฉันไม่ได้โง่หรอกนะ ที่ยอมอยู่อย่างนั้นแค่เพียงตัวฉันเอง ใช้ความจริงใจใส่ลงไปในทุกๆสิ่งที่ฉันหยิบจับหรือแตะต้อง...ฉันไม่เคยทำลายสิ่งใดก็ตามที่อยู่ในมือฉันนอกจากจะทำร้ายทำลายตัวเอง จากสิ่งต่างๆเหล่านั้น ที่อยู่ในมือฉันอยู่เยื้ยงนี้

ฉันเต็มใจ ที่จะไว้ใจ ในทุกสิ่งที่ทำผิดหวังที่ ความเต็มใจนั้น ไม่เคยเลยที่คนอื่นจะรู้สึกถึงมันและยังเรียกร้องไม่สิ้นสุด...

จะเอาอะไรกับฉันมากมายไปกว่านี้เหรอแค่ลำพังคนเชิด แกว่งฉันไปมาฉันก็เดินไม่ตรงทางอยู่แล้ว...ฉันมันก็แค่ หุ่นเชิด ตัวนึงเท่านั้นนะไม่ได้เลิศเลอมาจากสรวงสวรรค์ชั้นฟ้าที่ไหน

เห็นใจในสิ่งที่ฉันเต็มใจทำให้บ้าง...สักนิด

+
+
+
+
+
+
+
+
+
+

ได้ไหม

หรือไม่มีที่อยู่สำหรับฉันในโลกใบนี้โลกที่ชนชั้นสูง จัดสรรให้ตัวฉันเป็นได้แค่ หุ่นเชิดโง่ๆ ตัวนึง เท่านั้นเหลือพื้นที่ให้ฉันบ้างซิ

แม้ว่าพื้นที่นั้นจะเป็นแค่ที่ๆใช้วางกองฉันทิ้งไว้เฉยๆก็ตาม

อยากบอกแม่ว่า

อยากบอกแม่ว่า...


ทุกๆวันของผมเป็นวันของแม่ เพราะ


หากไม่มีแม่ ก็ไม่มีวันแรกของชีวิตผม
หากไม่มีแม่ ก็ไม่มีลมหายใจแรกของชีวิตผม
หากไม่มีแม่ ก็คงไม่มีใครให้กำเนิดชีวิตผม
หากไม่มีแม่ ผมก็คงไม่ได้เติบใหญ่จนบัดนี้

อยากบอกแม่ว่า...


ลูกรู้ว่า...เวลาลูกเจ็บแม่เจ็บกว่า
ลูกรู้ว่า...เวลาลูกทุกข์แม่ทุกข์กว่า
ลูกรู้ว่า...เวลาลูกพ่ายแพ้แม่คนเดียวที่คอยให้กำลังใจ
ลูกรู้ว่า...เวลาลูกทำผิดพลาดแม่คนเดียวที่ให้อภัยเสมอมา

อยากบอกแม่ว่า...


ขอบคุณครับ...ที่ให้ลูกได้เกิดมาเป็นลูกของแม่
ขอบคุณครับ...ที่ดูแลทะนุถนอมลูกจนเติบใหญ่
ขอบคุณครับ...ที่ทุกวันนี้แม่ยังคอยเฝ้าห่วงใย
ขอบคุณครับ...ที่ทุกลมหายใจของแม่มีแต่ลูกและเพื่อลูก

อยากบอกแม่ว่า...กลอนนี้เพื่อแม่ครับ


หนึ่งในครรภ์ คือชีวิต ที่ห่วงแหน
ดั่งหัวแก้ว หัวแหวน สุดแหนหวง
เฝ้าดูแล ทะนุถนอม กล่อมในทรวง
ด้วยสิ่งปวง รอจนเรา กำเนิดมา
สองดวงตา เฝ้ามองหา แลตามติด
ด้วยดวงจิต รักพันผูก มิรู้หาย
ดั่งใครคิด พรากเราไป ยอมตัวตาย
มิให้ใคร มาทำลาย กล้ำกลายเรา
สามสิ่งที่ เพียงต้องการ จากลูกน้อย
คือเจ้าค่อย เติบโตใหญ่ ไร้กังขา
คือเจ้าเชื่อ ฟังคำสอน ของมารดา
คือเจ้าใหญ่ โตขึ้นมา เป็นคนดี
สี่ปัจจัย เฝ้าหาให้ มิได้ขาด
แลกด้วยหยาด หยดเหงื่อ ไม่ท้อถอย
เพียงเพื่อเจ้าได้มีพร้อม ที่รอคอย
จะมากน้อย ต้องหาให้ เพื่อลูกยา
สองหัตถา พาลูกกล่อม ยามนอนหลับ
หนึ่งเสียงขับ ร้องเพลงกล่อม ยามร้องหา
สองแขนปลอบ คอยโอบอุ้ม อุ่นกายา
หนึ่งหยดน้ำ นมมารดา พาฝันดี
สองดวงตา เฝ้ามองลูก ผูกพันซึ้ง
ให้ตราตรึง ในหทัย คลายห่วงหา
หนึ่งดวงจิต ส่งพันผูก ใจลูกยา
ให้รู้ว่า ตัวแม่นั้น ช่างห่วงใย
เฝ้าดูแล ถ้วนถนอม จนเติบใหญ่
เฝ้าห่วงใย คอยปกปักษ์ มิเคยห่าง
เฝ้ามองดู ส่งใจหนุน ในทุกทาง
ให้ทุกอย่าง ที่ลูกขอ ไม่รอรี
แม้เหนื่อยยาก ลำบากกาย ไม่เคยบ่น
สู้อดทน ทำเพื่อลูก ทุกข์ไม่หวั่น
แค่เพียงเจ้า มีอย่างขอ ทุกสิ่งพลัน
ตัวแม่นั้น รีบเสาะหา มาทันใด
บุญคุณแม่ ช่างยิ่งใหญ่ หาใครเทียบ
มิอาจเปรียบ ค่าสูงล้ำ เหนือภูผา
เหนือแดนดิน เหนือท้องฟ้า เหล่าเทวา
คือมารดร ของลูกยา คนนี้เอย

ไม่ว่าวันไหนของปีไหนก็ตามที


อยากบอกแม่ว่า...ขอให้แม่มีความสุขครับ

อยากบอกแม่ว่า...ขอให้สุขภาพแข็งแรงครับ

อยากบอกแม่ว่า...ผมรักแม่ครับ

อยากบอกในท้ายนี้ว่า


ขอให้ทุกคนที่เป็นแม่บนโลกใบนี้มีความสุข มีลูกที่น่ารัก กตัญญูและแสดงความรักต่อกันมากๆนะครับ

I LOVE YOU MOM.
HAPPY MOTHER's DAY.

จากลูกแจ๊ค

วันแม่แห่งชาติ

12 สิงหาคม 2550

๑๕.หุ่นเชิดกับบันทึกเล่มเก่า

...หากชีวิตฉันทั้งชีวิต อยู่ในสมุดบันทึกเล่มนี้
หน้ากระดาษที่มี ไม่รู้จะพอเขียนหรือไม่
และทุกหน้าที่ถูกบันทึกลงไป
ก็ใช่ว่าจะมีใครเข้าใจทุกถ้อยคำ

หนึ่งในหลายประโยค ที่อยู่ในบันทึกเล่มเก่าหน้าปกสีน้ำตาลแก่ กับหน้ากระดาษสีครีมนวลตาฉันจำได้ว่าฉันไม่ได้เป็นคนซื้อมันมาแต่ใครคนนึงให้ฉันมาฉันจำได้ว่าตอนเห็นมันครั้งแรก ฉันก็ชอบมันในทันทีด้วยขนาดรูปเล่มครึ่งนึงของกระดาษ A4หนา และเย็บสันปกอย่างดีภายในมีภาพประกอบสีน้ำพิมพ์สีอยู่เป็นระยะๆพร้อมสายคั่นหน้ากระดาษเป็นริบบิ้นสีแดงตัดปลายเฉียงที่หน้าปกมีตัวอักษรสีดำเขียนว่าWrite in the book

ตอนที่ฉันได้มาฉันพกพามันไปไหนต่อไหนตลอดเวลาบันทึกทุกสิ่งที่สนใจ ทุกถ้อยคำที่มีความหมายใส่ลงไปในนั้น...แต่แล้ววันนึงฉันก็วางมันลงไม่ใช่เพราะฉันมีสมุดบันทึกเล่มใหม่และหน้ากระดาษก็ยังไม่เต็ม...

แต่ทุกหน้าที่เหลือของสมุดเล่มนี้มันจำต้องว่างเปล่าลง เพราะสิ่งที่ฉันสนใจเพราะทุกถ้อยคำที่มีความหมาย หายไปจากชีวิตฉันมันจึงจำเป็นต้องหยุดลงตรงหน้ากระดาษเพียงครึ่งเล่ม

มันทำให้ฉันรู้ว่า...ฉันไม่จำเป็นต้องคาดเดาหรอกว่ามันจะพอเขียนหรือไม่...เพราะเมื่อสิ่งที่มีความหมายหายไปจากชีวิต ทุกอย่างก็ว่างเปล่าตลอดไปสำหรับบันทึกเล่มนั้น...

แล้วฉันก็ได้เจอสมุดอีกเล่ม หน้าปกแข็งสีขาวลายจุดดำที่บางกว่าเล่มเดิม...มีอักษรเขียนไว้ที่ปกว่าบันทึกชีวิตหมา หมาฉันเริ่มบันทึกถึงอะไรบางอย่างที่ขาดหายไปในสมุดเล่มนี้แทนเล่มเดิมเยื้ยงคำบนหน้าปก...จนหมดทุกหน้ากระดาษ

มันกลายเป็นว่า ประโยคที่บันทึกในเล่มก่อน กลับมามีความหมายในเล่มใหม่ เพราะ ชีวิตหมา หมา ของฉันตั้งแต่บางสิ่งขาดหายไป...มันบันทึกไม่เคยเพียงพอเลย
ใครจะไปเชื่อว่า สมุดแต่ล่ะเล่ม จะมีตัวตนของความรู้สึกเฉพาะตัวได้ขนาดนี้

บ่นอะไรวะเนี้ย...ช่างเหอะ...
ก็แค่ชีวิตหมา หมา ของหุ่นเชิดเก่าๆตัวนึง...

๑๔.หุ่นเชิดกับนวนิยายโรแมนติค

มีคนเคยบอกฉันว่า...นวนิยาย โรแมนติค ไม่จำเป็นต้องจบลงอย่างสวยงามเสมอไป

ฉันก็ลองมานั่งคิดว่า...เขาต้องการจะบอกอะไรกับหุ่นเชิดอย่างฉันหุ่นเชิดที่ยังคงต้องเล่นอยู่ในบทบาทที่คนบนฟ้า เขียนไว้ให้เล่นและเหมือนแทบจะไม่มีบท โรแมนติค เลยในชีวิตฉัน

จนมานึกได้ว่า โรแมนติค นั้นแปลว่า เพ้อฝัน นี่!!
และความเพ้อฝัน มักอยู่เหนือความเป็นจริง...ซึ่งดูๆไปแล้ว คำพูดที่ฉันได้ยินมา ก็อาจจะจริงที่ มันไม่จำเป็นต้องจบลงอย่างสวยงาม...

อะไรบางอย่างที่เรารู้สึกต่อมันอย่างจริงจังทั้งๆที่มันเป็นเรื่อง เพ้อฝัน มันก็มักจะทำให้เกิดอุปทานหรือนึกว่าเรื่องนั้น...สิ่งนี้เป็นจริงมันไม่ได้ต่างจากการหลอกตัวเองเลยซักนิดบิดเบือนสิ่งที่อยู่ในความเป็นจริงที่บิดเบี้ยวอยู่แล้วให้ยิ่งบิดเบี้ยวมากขึ้น และมากขึ้นไปอีก

แต่คนส่วนใหญ่ในสังคมเพี้ยนๆปัจจุบันนี้กลับเห็นว่ามันเป็นสิ่งน่าอภิรมณ์ และน่าหลงใหล

ฉันนึกย้อนกลับไปกลับมา จริงๆแล้วตัวฉันเองก็ถูกกำหนดให้เล่นบทบาทนี้มาตลอดนี่นาบทบาทแห่งความโรแมนติค ตั้งแต่จำความได้เพ้อฝัน ว่าจะเป็นแบบนั้น จะทำแบบนี้อยากมีสิ่งนั้น อยากได้สิ่งนี้ ทั้งๆที่ก็รู้อยู่ว่าในความเป็นจริง ทุกสิ่งไม่เป็นดังที่ควรเป็นเหมือนตอนที่เรา เพ้อฝัน เลย...

มันก็ยิ่งตอกย้ำคำพูดในตอนต้นให้เห็นชัดขึ้นไปอีกแล้วทำให้พาลคิดไปว่า ทุกคนบนโลกเบี้ยวๆใบนี้โรงละครโรงใหญ่ของ ฉัน โรงนี้...ต่างก็เคยเล่นบท โรแมนติค มาแล้วด้วยกันทั้งสิ้นแล้วจะผิดหวังเสียใจกับเรื่องใดๆมากจนเกินไปทำไมในเมื่อ โรแมนติค กับ ความเพ้อฝัน คือสิ่งเดียวกันและมันไม่จำเป็นต้องจบลงอย่างสวยงามเสมอไป

สดุดีฯ แด่ ความโรแมนติค อันแสนรื่นรมณ์ที่ทำให้รู้ว่า...บางครั้ง การหลบเข้าไปอยู่ในบทบาทแห่งความโรแมนติคนั้น อาจมีฤทธิ์ แรงกว่า มอร์ฟีนที่ช่วยระงับความเจ็บปวดทางร่างกายได้เพราะมัน เป็นยาระงับความเจ็บปวดทางจิตใจที่แม้ว่าเมื่อถอดตัวเองจากบทบาทที่โรแมนติคนั้นแล้วความเจ็บปวดทั้งหลายก็ยังคงอยู่ตรงที่เดิมและอดทนรอ ให้เรา ผ่านมันไปให้ได้


โรแมนติค.........เพ้อฝัน
เพ้อฝัน.........โรแมนติค
อืมมม
+
+
+
+
+
+
+
+
+

...มีคนเคยบอกฉันแหละ
...ว่า
...นวนิยาย โรแมนติค
...ไม่จำเป็นต้องจบลงอย่างสวยงามเสมอไป

๑๓.หุ่นเชิดกับความเหงาในอณูอากาศ

ความเหงาที่ลอยฟุ้งในอากาศรอบตัวเรานี่มีมากมายซะจนหนีมันไม่พ้นแค่เพียงชั่วครู่เดียวที่ปล่อยตัวเองดำดิ่งลงสู่ความโดดเดี่ยว ความเหงาก็เข้ามาแทนที่ทันที

แต่ถึงแม้บางครั้ง...จะอยู่ท่ามกลางผู้คนมากมายก็ใช่ว่าจะสัมผัสถึง ละอองความเหงาไม่ได้และการรับรู้ถึงความเหงาที่แม้จะอยู่ท่ามกลางผู้คนรายล้อมดาษดื่นนี้มันยิ่งเหงากว่าการอยู่โดดเดี่ยวในความเหงาเพียงคนเดียวเสียอีก

หุ่นเชิดอย่างฉันซึมซับกับละอองความเหงาเหล่านี้ดีทั้งในแง่ที่ต้องอยู่เดียวดาย และ เหงาท่ามกลางผู้คน

เวลาต้องออกแสดง ฉันทำให้ใครต่อใคร รู้สึกยินดียินร้ายตามบทบาท ณ ตอนที่ต้องแสดงอารมณ์นั้นๆแต่ในขณะเดียวกัน...ข้างในมันช่างว่างเปล่าเหมือนเครื่องจักรที่ขยับได้แต่คิดไม่เป็น...เหมือนใบไม้ที่ปลิวไปตามแรงลมแต่หารู้ไม่ว่าจุดหมายของตนอยู่ที่ใด

เวลาไม่ต้องออกแสดง ก็โดนทิ้งขว้าง วางกองไว้เฉยๆในที่เดิมๆของตัวเอง...จับจดกับความคิดที่กลับมีมากมายมากกว่าตอนออกแสดงเสียอีก

แต่...ไม่ว่าจะยังงัย ฉันก็ยังเป็นหุ่นเชิดตัวเดิมตัวที่เริ่มผุพังไปตามกาลเวลา...รอวันหมดอายุฉันจึงเข้าใจและซึมซับ ละอองความเหงาที่ลอยล่องอยู่ในอณูอาาศ ได้อย่างเต็มใจและพร้อมที่จะอยู่กับมัน...จนวันสุดท้ายของการใช้งาน

๑๒.หุ่นเชิดกับโทสะจริต

ตอนนี้หุ่นเชิด พยายามเก็บกักมันไว้เจ้าตัวโทสะ...กดมันไว้ให้ลึกที่สุด...อย่าให้มันพลั่งพลูออกมาจนเกินขอบเขตสิ่งเดียวที่ช่วยกลบเจ้าตัวโทสะไว้ได้เห็นจะมีสิ่งเดียว...นั่นคือ อดทน

โทสะจริต...ความรู้สึกอยากจะระเบิดมันออกมาให้หมดแต่ก็ยังมองเห็นถึงปลายทางแห่งจริตตัวนี้หากแม้เพียง ปลดปล่อยมันออกมาทุกอย่างจะเปลี่ยนแปลงในแบบถึงขั้นที่เรียกว่าพลิกฟ้า คว่ำแผ่นดิน ได้เลยทีเดียว

หุ่นเชิดกับโทสะจริตที่มีตอนนี้เกิดจากความสับสนที่มีมากมายด้วยปัญหาหลายๆเรื่องที่มักแทรกเข้ามาในเวลาเดียวกัน จนรับมือแทบไม่ไหว ความยุ่งเหยิง ที่มีมากเหลือเกินด้วยน้ำมือของตัวเอง กับบทบาทที่คนบนฟ้า เชิดแกว่งไปแกว่งมาจน หาแก่นแท้ของตัวเองไม่เจอช่างทำให้อารมณ์ขุ่นมัวซะเหลือเกิน

อสุนีบาต ที่ฟาดผ่าลงกลางพายุแห่งอารมณ์ตอนนี้เหมือนจะปลุกให้ โทสะจริต ฟื้นคืนจากการหลับใหลจนกลัวตัวเอง เกินบรรยาย มือไม้สั่นเทาไปหมด เหมือนมองย้อนกลับไปเห็นซากปรักหักพัง...ของสิ่งที่สร้างมากับมือนั่งรอเพียง ให้น้ำตา ถาโถมชะล้างซากเหล่านั้นและรอวันที่จะสร้างสรรทุกสิ่งขึ้นมาใหม่

จะต้องรอถึงเมื่อไหร่...
จะต้องรออีกนานแค่ไหน...

หรือจนกว่า โทสะจริต จะปรากฏกายสร้างความเสียหายจนเกินคาดคะเนจนสายเกินกว่าจะยับยั้งมันได้...

๑๑.หุ่นเชิด กับ หัสนาฏกรรม

หัสนาฏกรรม...(หัด-สะ-นาด-ตะ-กัม)คำๆนี้ไม่เป็นที่คุ้นเคยนัก และสำหรับบางคนอาจไม่เคยได้ยินมาก่อนเลยด้วยซ้ำเพราะคำๆนี้มีโอกาสได้ใช้น้อยมากในสังคมปัจจุบันหัสนาฏกรรม...ความหมายที่ตรงข้ามกันโดยสิ้นเชิงกับ โศกนาฏกรรม...(โศก-กะ-นาด-ตะ-กัม)

หัสนาฏกรรม การกล้าที่จะหัวเราะให้กับทุกสิ่ง...ศิลปะแห่งการหัวเราะที่ถ้าใช้มันดีๆ อย่างถูกต้อง และมีสติ มีกาลเทศะรู้เวลา สถานที่ และบุคคลแวดล้อมที่ควรจะมีอารมณ์หรรษาด้วยแล้ว ล่ะก็...แม้แต่คนเชิด ก็อาจกระเด็นออกไปไกลได้เหมือนกันเพราะการหัวเราะ มักทำให้ความกลัวหายไป

อีกคำที่จะตามมาหลังจากคำว่า หัสนาฏกรรม คือสุขนาฏกรรม...(สุข-ขะ-นาด-ตะ-กัม)ซึ่งหากมองผิวเผินทั้ง 2 คำ อาจไม่แตกต่าง...แต่ลองพิจารณาถึงลำดับการเกิดของ 2 คำนี้ดีๆก็จะเห็นว่า ควรมีอะไรก่อนและอะไรตามมาทีหลัง

คงไม่มีใครอยากให้ชีวิตของตัวเองกลายเป็นเรื่องราวแห่งโศกนาฏกรรม จริงมั้ย....?งั้นก็ควรพยายามที่จะเผชิญหน้ากับปัญหาที่ผ่านเข้ามาคิดและหาวิธีแก้ไขปัญหาเหล่านั้นอย่างเป็นขั้นเป็นตอนและมีระบบ ยิ้มสู้กับมันอย่างไม่ท้อถอย...เพราะเมื่อคำตอบของปัญหา ปรากฏตัวขึ้นมันก็จะนำมาซึ่ง หัสนาฏกรรม และทำให้ชีวิตเรากลายเป็นเรื่องราวแห่ง สุขนาฏกรรม ได้ในที่สุด

หุ่นเชิดอย่างฉัน อยากให้ชีวิตเป็นแบบ หัสนาฏกรรมในแบบของฉันด้วยการพยายาม พร่ำบ่น เพ้อพกถึงความคิดเห็นส่วนตัวของตัวเอง ทำให้เหมือนตัวฉันเองได้ระบายออกถึงสิ่งที่อัดอั้น...และเก็บกักมันไว้ในรอยหยักของสมอง ซึ่งทำให้เป็นทุกข์...พยายามหามุมมองเพื่อซักวันจะสามารถเผชิญปัญหาต่างๆนาๆได้ด้วยข้อคิดในแบบของฉันเอง...แบบนี้

และฉันไม่สนหรอกนะ ว่าใครจะว่า ฉันบ้า ฉันเพี้ยนเพราะถึงฉันจะเป็นอย่างนั้นจริง...ฉันก็บ้าและเพี้ยนในพื้นที่ของฉันเองในโลกส่วนตัวของฉันเอง...
ผู้ที่หลงเข้ามาในพื้นที่ของฉันต่างหากล่ะที่ควรถามตัวเองว่า...เข้ามาเพื่ออะไร?เพื่อลองมองตาม เพื่อคัดค้านขัดแย้งหรือแค่ผ่านมาเฉยๆ...ไม่ได้สนใจอะไร(ประมาณว่า สาระของข้าคือ ความไร้แก่นสารในชีวิต ก็เรื่องคุณ)

ทุกคนล้วนมีโลกส่วนตัว...และฉันไม่แทรกแซงโลกส่วนตัวใครฉะนั้น...ก็ไม่ควรแทรกแซงโลกส่วนตัวของฉันด้วยการพยายามตัดสินว่า ฉันบ้าหรือไม่เพี้ยนรึป่าว...สติเฟื่องไปมั้ย หรืออะไรก็ตามแต่ที่พยายามจะพิพากษาฉัน...

ฉันแค่พยายามมองทุกเรื่องในชีวิตให้เป็นเรื่องชวนหัว ในโลกส่วนตัวของฉันเองเท่านั้นโลกส่วนตัวของหุ่นเชิด...ที่เกิดในยุคซึ่งผู้ใหญ่ไม่เหลียวแลและเด็กรุ่นหลังไม่เคยเห็นว่าฉันมีตัวตน...

จำไว้...ไม่มีใครสูงสุดตลอดกาลและไม่มีใครต่ำสุดตลอดไป
ยิ้มสู้...แล้วเราจะรอด

ใครอ่านจบ...ท่านสุดยอดมากที่ท่านพยายามจะรับรู้ว่าคนขวางโลกมันเป็นยังงัย...

๑๐.หุ่นเชิดกับชุดเกราะหนังมนุษย์

เราทุกผู้ล้วนเกิดมาถูกฟูมฟักเลี้ยงดู อบรมสั่งสอนในรูปแบบต่างๆกัน...ด้วยวิธีการต่างๆกัน...และสภาพแวดล้อมที่ต่างกัน...

จนเมื่อเติบโต การเรียนรู้ทุกอย่างรอบๆตัวและประสบการณ์ที่สั่งสมมา...ก็จะหล่อหลอมความเป็นตัวตนจริงๆของเราขึ้นแต่แล้ว...เมื่อเวลาพ้นผ่านไป หลายสิ่งหลายอย่างทำให้ตัวเราต้องเก็บงำเอาตัวตนที่แท้จริงฝังไว้ข้างในแล้วหยิบจับหน้ากาก กับชุดเกราะหนังมนุษย์ที่ไม่ใช่ตัวเราขึ้นมาสวมใส่ ป้องกันตัวจากสิ่งรอบกายทาบทับร่างที่แท้จริงไว้พร้อมกับการสื่อสารกันด้วยภาษาที่ไร้ซึ่งความจริงโดยสิ้นเชิงด้วยบทบาทต่างๆนาๆที่เสริมที่เพิ่มเอาเองในรูปแบบที่ว่า...คนนึงก็พูดไม่จริง ในขณะที่ อีกคนก็ฟังไม่จริงโกหก ปลิ้นปลอน พลิกลิ้นไปมา ไม่สิ้นสุด

มิหนำซ้ำ คนเชิด ยังไม่ยินดียินร้ายในการกระทำจอมปลอมพวกนี้ กลับนั่งมอง และหัวร่องอหายกับความโสมมที่หุ่นเชิดของเขา แสดงออกมาในคราบมนุษย์ใช้ความดัดจริต ด้วยมารยาสาไถย สารพัดสารเพเล่ห์เหลี่ยม กลโกง อันน่าขยะแขยง ที่เกินจะบรรยาย ลืมว่าตัวเองเป็นใคร หลงทำผิดซ้ำแล้วซ้ำเล่าจนคนเฝ้าดูหน้าเวที ก็ยังเอือมระอากับสิ่งที่ตัวเราสร้าง...ที่ตัวเราก่อขึ้น

จนวันนึง เมื่อคิดจะกลับสู่ความเป็นตัวเองก็สายไปซะแล้ว...เพราะได้ทำตัวตนที่แท้จริงของตัวตกหล่นหายไประหว่างทางที่ก้าวเดินมาซะแล้วกว่าจะย้อนกลับไปเก็บ ตัวตนที่แท้จริงของเราได้ก็จวนเจียนใกล้ วาระสุดท้าย แห่งการมีชีวิต

เวลา...ของคนเรานั้น ถ้าปล่อยให้มันผ่านไปแล้วก็จะสูญเสียเวลานั้นไปเลย เรียกกลับมาไม่ได้อีกแล้วทำไม ไม่ใช้บทบาทแห่งตัวตนที่แท้จริงของตัวเองซะตั้งแต่แรก...กับบทที่มีอยู่แสดงออกสู่สายตาผู้ชมด้านหน้าเวทีแห่งโรงละครโลกโรงนี้ซะเลยล่ะ...จะนอกบทไปซะจนเสียรูปกระบวนจนบทที่คนบนฟ้าเขียนไว้ยุ่งเหยิงกระเจิงกระจาย ทำไมนี่ไม่ใช่การบอก ให้ดำเนินชีวิตไปตาม ยถากรรมแต่ทำหน้าที่ของบทบาทที่มีอยู่แล้วให้มันดีที่สุดไม่ดีกว่าเหรอ

ในเมื่อบทบาทสุดท้ายของทุกคนก็จบเหมือนๆกัน คือ
สิ้นอายุการใช้งาน...ถูกเผาเป็นเถ้าถ่าน ปลิวลอยไปกับสายน้ำและสายลม

๙.หุ่นเชิดเดินหลงทาง

หุ่นเชิด เดินหลงทางอยู่ระหว่างสองโลกโลกใบหนึ่งนั้น...เหมือนเวทีสี่เหลี่ยมที่กว้างใหญ่อีกโลกหนึ่งนั้น...กลับกว้างใหญ่เกินสี่เหลี่ยมของเวที

โลกใบหนึ่งนั้น...ฉันต้องโดนเชิดออกแสดงวันแล้ววันเล่าเพื่อให้ได้รู้ว่าฉันยังมีตัวตน...ในสังคมบิดๆเบี้ยวๆอีกโลกหนึ่งนั้น...ช่างเสรี ไร้ขอบเขต ล่องลอย และสวยงาม

ฉันกำลังหลงทางอยู่ระหว่าง โลกแห่งความเป็นจริงที่มีทั้งบทบาท สถานภาพ ความรับผิดชอบ และหน้าที่ทั้งหลายแหล่ ที่สังคมหยิบยื่นให้อยู่เนื่องๆกับอีกโลกที่เป็นความเพ้อฝัน เต็มไปด้วยอุดมคติที่แทบจะเป็นไปไม่ได้เลยในอีกโลกนึง...

เหมือนฉันกำลังโดนเชิด ให้เดินอยู่บนราวเชือกแห่งชีวิตที่ยาวเหยียด...ซึ่งถ้าฉันทรงตัวไม่ดี เอียงไปทางใดทางหนึ่งมากเกินไป ฉันก็จะตกลงมาสู่เบื้องล่างและเกิดความเสียหายขึ้นได้...

ความจริง...ความฝัน
ความฝัน...ความจริง

หลงทางซะแล้วเรา...เจ้าหุ่นเชิด ผู้โง่เขลา

๘.หุ่นเชิดกับความใจแคบที่ทุกคนต้องเจอ

ลองมานั่งคิดๆดูแล้ว ว่า...การมีคนชอบก็ต้องมีคนเกลียดและคนที่เกลียด...ก็มักจะไม่พ้นความเข้าใจผิด หรือ ความอิจฉาริษยา ในเรื่องไม่เป็นเรื่องที่เขาเหล่านั้นมีต่อตัวเรา ทั้งๆที่ยังไม่รู้จักเราด้วยซ้ำ ถ้าอย่างนั้นจะแปลกอะไรไป...หากจะโดนเกลียด!!เพราะความเกลียดเหล่านั้น มักไม่มีเหตุผลที่เพียงพอซึ่งคนที่เกลียดเรา อาจถูก กิเลส ของตัวเขาเองครอบงำและ อาจเป็นคนใจแคบ อย่างร้ายกาจ

คนเราถ้าลอง ใจแคบ แล้วละก็...อย่าไปหวังให้เขา ยอมรับฟังอะไรเลย...ไม่มีทางแค่เห็นก็ตัดสินแล้วว่าเรา เป็นแบบนั้นแบบนี้มีโลกทัศน์ที่แคบ และตีบตัน โดยสิ้นเชิง กล่าวหาและโทษผู้อื่น ด้วยคำพูด ด้วยวาจาที่ร้ายกาจซึ่งเขาอาจมองว่า เป็นแค่คำธรรมดาๆที่เขาใช้ทุกวี่วัน

มันก็แน่ล่ะ...ก็เพราะความที่เขาใช้วาจาถากถางผู้อื่นทุกวี่วัน ด้วยความใจแคบ และมีตัวเองเป็นจุดศูนย์กลางของทุกสิ่ง...ก็ย่อมทำให้ลักษณะทางพฤติกรรมของเขาเป็นเช่นนั้น...

มีคนชอบก็ต้องมีคนเกลียดมีคนชอบหนึ่งคน ก็อาจมีคนเกลียดเป็นหมื่นเป็นแสนสัจธรรม แต่โบร่ำโบราณ...ก็เข้าใจอยู่และการอโหสิกรรม คงเป็นสิ่งที่ดีที่สุด
และที่สำคัญ...อย่างน้อยมันก็ทำให้เรารู้ว่า...ทุกคนในโลกนี้ ล้วนแตกต่างกันในความคิด...ในความรู้สึก...หรือแม้กระทั่งการอบรมเลี้ยงดูรวมถึงสภาพแวดล้อม...และปัจจัยอีกหลายอย่าง จนบางครั้งบางทีก็ทำให้พาลคิดไปว่า...

การศึกษา ในปัจจุบัน ก็ไม่ได้ช่วยยกระดับจิตใจและความคิดของผู้ที่ศึกษาหาความรู้นั้นๆ...เลย

๗.หุ่นเชิดไม่มีสิทธิ์เชิดหุ่น

หุ่นเชิด จะมีสิทธิไปเชิดหุ่น ได้ยังงัย

ในหลายๆครั้ง ใครบางคนที่วนเวียนในชีวิตฉันก็เหมือนว่าจะโดนฉันเชิดให้เล่นไปตามบทบาทที่ฉันร่วมแสดงอยู่ด้วย...แต่หากมองดีๆ หุ่นเชิดอย่างฉันจะมีสิทธิ์อะไรไปเชิดหุ่นอีกตัวในบทละครชีวิต ที่แสดงบนเวทีโรงละครโลกแห่งนี้ต่างคนต่างโดนเชิด โดนชักใยไปในรูปแบบต่างๆกัน จากคนเชิดคนละคนกันจากบทแสดงคนละเรื่องกันด้วยบุคลิกที่ต่างกัน

เป็นแค่เพียงความบังเอิญในบทบาทเท่านั้นที่ทำให้...หุ่นเชิด ตั้งแต่ 2 ตัวขึ้นไปต้องมาร่วมกันแสดงในฉากนั้นๆ ที่คนบนฟ้า เขียนกำกับไว้
หุ่นเชิดอย่างฉันไม่มีสิทธิ ไปเชิดหุ่นตัวใดในโลกแต่มีสิทธิที่จะพบพานรู้จักหุ่นอีกตัวหรือหลายตัวที่บังเอิญ คนบนฟ้าเขียนใส่ไว้ในบทให้พบเจอจนกว่าบทที่เขียนไว้จะสิ้นสุดลง...

แล้วความห่างไกลก็บังเกิดขึ้น...ความเดียวดายก็กลับมาเยือนอีกครั้งจนสุดท้าย ก็จะเหลือเพียงฉัน ที่ผุพังไปตามกาลเวลาและเหลือเพียงตัวตนของหุ่นเชิดตัวนั้นๆที่จะผุพังไปตามกาลเวลาอย่างเดียวดายเช่นเดียวกัน...

คิดอยากเป็นคนเชิด...ต้องไม่โดนเชิดแต่ถ้ายังโดนเชิด ก็อย่าริอ่านไปเชิดคนอื่น
ก็เท่านั้น...

๖.หุ่นเชิดกับการเผชิญหน้ากับอีกด้านของตัวเอง

การเผชิญหน้ากับอีกด้านนึงของตัวเองมักเป็นอะไรที่สุดจะคาดเดาเราไม่อาจรู้ว่า...อีกด้านของตัวตนของเราเองลึกๆแล้วจะแตกต่างจากที่เรากำลังเป็นอยู่มากน้อยแค่ไหน

ในสังคมโลกใบนี้...เวลานี้ ณ ปัจจุบันกาลมีมากมายนับร้อยนับล้านสิ่ง นับหมื่นนับพันเรื่องราวที่ทำให้เกิดการแข่งขัน แต่ทุกอย่างจะมีความหมายอะไรหาก เพียงการแข่งขันเดียว ในโลกนี้ไม่เกิดขึ้นนั่นคือ การแข่งขันกับตัวเอง

การแข่งขันและกล้าที่จะเผชิญกับอีกด้านนึงของตัวเองนั่นหล่ะ คือ สงครามที่ยิ่งใหญ่เหนือ สงครามใดๆ เหนือการแข่งขันใดๆ และเหนือกว่าทุกสิ่งทุกอย่าง เพราะการแข่งขันกับตัวเองนั้นมักทำให้เราตระหนักได้ดีที่สุดว่าเราบกพร่องตรงไหน...ควรแก้ไขอะไรหรือหลีกเลี่ยง และจัดระเบียบตัวเองยังงัย

ดังนั้นในความคิดที่จะแข่งขันกับคนอื่นควรหันมา ใคร่ครวญ มองดูตัวเองเริ่มต้นแข่งขันกับตัวเอง และ เอาชนะตัวตนอีกด้านนึงที่ไม่ดีให้ได้...ก็คงเป็นการดีกว่ามัวนั่งอิจฉากันจ้องจะอยากได้อยากมีในสิ่งที่ตนไม่มีแข่งขัน ด้วยเล่ห์เหลี่ยม อุบายสารพัดเพียงเพื่อให้ชนะ ให้ได้มาในสิ่งที่ต้องการ

๕.หุ่นเชิดกับพื้นที่ของโรงละครโลก

เมื่อนั่งนึกถึงความกว้างของโรงละครโลกแห่งนี้มันทำให้ หุ่นเชิด อย่างฉัน...เป็นเหมือนผงฝุ่น...ในแดนสนธยา อันกว้างใหญ่ที่เพียงแรงลมพัดเบาๆ ฉันก็อาจปลิวล่องลอยไปตามแรงลมนั้น...และตกลงในที่ๆแรงลมหยุด ซึ่งหารู้ได้ไม่ว่าเป็นที่ใด...

เวทีของโรงละครโรงนี้ ช่างกว้างใหญ่ไพศาลซะเหลือเกิน ที่ฉันจะเดินจากฟากหนึ่งของขอบเวทีที่ฉันอยู่ ไปยังอีกฟากที่อยู่ตรงข้าม....ซึ่งไกลสุดลูกหูลูกตา หากเพียงแต่ สิ่งที่ติดตัวมา ที่เรียกว่า ความรู้สึกนึกคิด และจินตนาการนั้น...กลับเดินทางได้เร็วกว่าแรงลมพายุใดๆ เร็วกว่าสิ่งที่วัดได้ด้วยระยะทาง และเหนือกาลเวลา

เพราะจินตนาการและความใฝ่ฝัน ที่ตัวฉันมีนั้น กว้างใหญ่กว่าโรงละครโลก โรงนี้ซะอีก...

ฉันจะไม่รอคนบนฟ้า...ชักใยนำพาฉันไปจนถึงอีกฝั่งของเวทีหรอกนะ เพราะเขา...ผู้นั้น อาจชักพาฉันเดินเป๋ไปเป๋มา จนมองไม่เห็นอีกฟาก หรือถูกเบี่ยงเบนจุดหมายปลายทางไป แต่...ฉันจะไปด้วยตัวของฉันเอง แม้ต้องคืบคลานไปอย่างเชื่องช้าดังหอยทากหรือไส้เดือน อย่างน้อย จุดหมายของฉันก็คืออีกฝั่งที่จะไม่โดนเบี่ยงเบนให้ไขว้เขว่...ไปตามทิศทางที่ คนบนฟ้าชักพา

หากเพียงแต่บางสิ่งบางอย่าง จำเป็นต้องรอเวลาที่สุกงอมเท่านั้น...และเตรียมพร้อมในสิ่งที่ตัวเรามี ไว้สำหรับทุกอย่าง เมื่อโอกาสและเวลาเดินทางมาประจวบเหมาะฉันจะพุ่งทะยานไปข้างหน้าอย่างไม่หยุดยั้งด้วยแรงสร้างสรร และพลังทีสั่งสมมา
ฉันจะเตรียมตัวไว้รอเวลานั้นอย่างตั้งใจและมุ่งมั่น เพื่อสักวัน หุ่นเชิดอย่างฉัน จะกลับกลายเป็น มนุษย์อย่างเต็มตัว...ด้วยตัวฉันเอง

อีกครั้ง...

๔.หุ่นเชิดกับความขี้เล่นของคนบนฟ้า

นึกจะวางฉันทิ้งไว้มุมใดมุมนึงของโรงละคร ก็เล่นไม่สนใจฉันเลย นึกจะหยิบจับฉันขึ้นเชิดออกแสดง ก็เชิดจนไม่ยอมวาง

ความขี้เล่นของคนบนฟ้านี่แปลกเนอะ สนุกจนลืมไปว่า ความรู้สึกนึกคิดของหุ่นเชิดอย่างฉัน ยังคงเป็นของฉันอยู่ แต่เพราะคนบนฟ้าขี้เล่นซะจนพยายามโยงใยตัวฉันให้เดินไป จนเหมือนเป็นไปอย่างที่ฉันคิด ฉันรู้สึกให้ฉันสับสน ว่าสิ่งที่ฉันทำอยู่ ฉันทำเอง ไม่ได้เกิดจากการเชิดของท่าน

ทำให้ฉันลืมตัวไปว่าเส้นสายที่เชื่อมต่อแขนขา ของฉันยังคงมีอยู่ และมันทำให้ฉัน...ทั้งหัวเราะและร้องไห้ไปได้ในคราวเดียวกัน...ความขี้เล่นของท่านนี่ สุดยอด จริงๆ

สักวัน...ฉันจะดึงสายที่โยงตัวฉันออก แล้วลุกขึ้นยืนและเดินด้วยตัวเองให้ได้ เขียนบท และแสดงด้วยตัวของฉันเอง เพราะตอนจบของละครเรื่องยาวเรื่องนี้ก็คงหนีไม่พ้น...การหมดอายุใช้งานของตัวฉันเอง...

เพราะในโลกนี้...ไม่มีอะไรที่ไม่หมดอายุ
เพราะในโลกนี้...ไม่มีอะไรตลอดกาล

๓.หุ่นเชิดกับความสับสน

ในโลกที่ฉันเกิดมา...ไม่เคยหยุดนิ่งอยู่กับที่ ไม่เคยมีแม้บ้านที่เป็นของตัวเอง ย้ายไปเรื่อยๆตามที่ต่างๆครั้งแล้วครั้งเล่าตั้งแต่จำความได้...

ฉันพยายามที่จะไม่โทษถึงต้นสายแห่งตระกูลฉัน...ที่เหลือไว้ให้ฉันได้ใช้เพียงแค่ นามสกุล กับความไม่เท่าเทียมกันในวงศาคณาญาติ การดูถูกกันเองของวงศ์วานในรุ่นก่อนๆ ที่เกี่ยวพันต่อมาถึงรุ่นฉัน...

ฉันก็พยายามให้ได้มีเหมือนคนอื่นๆ ในเหล่ากอที่ใช้ สกุลเดียวกันแล้ว แต่ตัวฉันดันเกิดมา โง่ ในเรื่องอื่นๆทั้งหมด ยกเว้น การวาดรูป สิ่งเดียวที่ได้รับพรมาจากเบื้องบน คือสองมือที่สามารถสรรสร้างภาพวาด ออกมาในแบบที่ฉันพึงประสงค์ได้

แต่...พรนี้ฉันใช้มันได้ไม่เต็มที่เลย เพียงเพราะเงื่อนไขแวดล้อมทางสังคมในชีวิต เพียงเพราะเหล่าทฤษฎีและตัวหนังสือ กับตัวเลขที่มีจุดทศนิยม กักกันมันเอาไว้ โลกแห่งการแก่งแย่งแข่งขันต่างๆนาๆ ที่ด้วยความเป็นจริง ตัวเลขกับตัวอักษรทั้งหลาย ไม่ได้ช่วยให้ตัวฉัน...อยู่รอดมากเท่าที่ควร ไม่ได้ช่วยให้ครอบครัวฉัน เป็นสุขได้เลย และไม่ได้ทำให้ฉันได้ใช้พรจากเบื้องบนอย่างที่ตัวฉันมีได้มากอย่างใจต้องการ...และทุกอย่างก็ต้องถูก กดไว้ เก็บมันไว้ พูดไม่ได้ มันทำให้พฤติกรรมหลายอย่างของฉันเต็มไปด้วยความลับ...ที่เผยไม่ได้ เต็มไปด้วยคำถามจากผู้คนรอบข้างที่สงสัย ในสิ่งที่ฉันเป็นอยู่ ดำเนินอยู่ที่ฉันเองเอ่ยปากตอบไม่ได้...

ไม่ใช่เพราะ เขินอาย ไม่ใช่ว่า ร้ายแรง แต่ฉันคิดว่ามันไม่ใช่เรื่องที่ใครๆต้องรับรู้ใส่ใจ หรือเป็นเดือดเป็นร้อนแทนตัวฉัน หลายคนพยายามเค้นหาคำตอบจากฉัน แต่ที่ได้กลับไปคือความว่างเปล่าในคำตอบ ไร้ความกระจ่างใดๆ ไร้เหตุผลที่จะอธิบาย

ถามตัวเองหลายต่อหลายครั้งว่า ถ้าความทรงจำทั้งหมดหายไปเฉยๆ พร้อมกับความลับที่เก็บไว้คนเดียวมานาน ตื่นขึ้นมาเป็นมนุษย์ที่ไม่มีความทรงจำใดหลงเหลือแล้วเริ่มต้นใหม่จาก ศูนย์ จะเป็นอย่างไร ชีวิตจะสรรหาและได้ใช้พรจากคนเบื้องบนอยู่หรือไม่ ทุกอย่างที่ผ่านเข้ามาจะดูแปลกตาไปจากเดิมมั้ย

อยากรู้คำตอบของคำถามเหล่านี้จังเลย

สับสน ว้าวุ่น กังวลไม่หยุดหย่อน รู้ว่ามีคนที่อาจลำบากกว่า คิดมากกว่า หรือลึกซึ้งกับความลำบากต่างๆนาๆมากกว่าฉัน แต่ฉันก็มีสิทธิ์ที่จะคิดไม่ใช่หรือ...ถึงสิ่งที่ทำให้ฉันรู้สึกเป็นทุกข์ในตอนนี้ และหนทางเดียวแห่งความรอดพ้นทุกข์นี้ที่เห็นแสงฉายส่องเพื่อให้เดินมุ่งไป คงมีแค่ ธรรมฺ เท่านั้น

นานแค่ไหนแล้วนะที่ฉันลืมคำสอน ขององค์มหาบุรุษผู้ฝากความรู้อันเป็นจริง และประเสิรฺฐยิ่งแก่มวลมนุษยชาติไว้ในโลกใบนี้เมื่อ 2,500 กว่าปีล่วงมาแล้ว
ก็เรายังใช้ พุทธศักราช กันอยู่มิใช่ฤา...

๒.หุ่นเชิดที่คนบนฟ้าไม่สนใจ

อยากเขียนอยากบอกทุกรายละเอียดความเป็นตัวฉัน แต่ทุกครั้งที่คิดเริ่มจะเขียนนั้น รายละเอียดของตัวฉันก็ค่อยๆจางหายไปทุกที

อยากเล่าทุกความเป็นไป...ทุกย่างก้าวที่เดินบนเส้นทางของฉันแต่ทุกครั้งที่อยากบอกใคร ก็เหมือนว่าทุกคนรอบกายจะหายไปกันหมด หรืออาจเป็นเพราะตัวฉันที่หลบลี้หนีหน้าใครต่อใครไปเอง

ก็เพราะตอนนี้ตัวฉันเองรู้สึกสับสน กับชีวิตของตัวเองมากมายในทุกเรื่อง ทุกอย่าง กลายเป็นหุ่นเชิดแห่งโรงละครโลกที่ถูกทิ้งไว้ในกล่องเก็บของ ภายในโรงละครโรงใหญ่แห่งนี้

อยากเดินได้ด้วยตัวเอง มีชีวิตจิตใจและหัวใจที่แข็งแกร่ง แต่ตอนนี้ ไร้เรี่ยวแรง นั่งนิ่งในความคิด วกวนของตัวเอง ในความฟุ้งซ่านของตัวเอง อยู่หลังโรงละครโลกที่ไม่มีใครสนใจ ก็ฉันเป็นแค่ หุ่นเชิดแห่งโรงละครโลกตัวเก่าที่เริ่มผุพังไปตามกาลเวลา...ก็เป็นได้แค่นั้น...

หุ่นเชิด...ของคนบนฟ้า ที่ตอนนี้เขาไม่สนใจฉันอีกแล้ว

๑.หุ่นเชิดแห่งโรงละครโลก

พยายามจะเข้าใจตัวเองไปถึงสาเหตุอะไรบางอย่าง ที่ทำให้ตัวฉันเป็นฉัน...และพฤติกรรมหลายอย่างที่ฉันมีความขัดแย้งหลายอย่างในตัวเองเช่นสิ่งที่ชอบทำ กับสิ่งที่ทำอยู่สิ่งที่กำลังคิดในขณะที่ กำลังปฏิบัติงานอย่างอื่นอยู่ มันทำให้ตัวเองไม่มีสมาธิเอาซะเลย

แล้วปัญหามันก็เกิดขึ้นตรงที่ว่า...ใครหลายคนพยายามที่จะเข้าใจในตัวฉันแทนฉันเองแต่ในเมื่อตัวฉันเองก็ยังให้คำตอบตัวเองไม่ได้แล้วจะมาพยายามเข้าใจฉันทำไมพยายามตัดสินพิพากษาฉันทำไม...คิดว่านี่เป็นเกมส์เหรอ ชอบทำให้ชีวิตเหมือนเกมส์เหรอ

หลังจากที่พินิจพิจารณาตัวเองในระดับนึงก็มาตระหนักว่า...ไม่มีใครเข้าใจในความเป็นฉันได้หรอกเพราะฉันก็ยังไม่สามารถ...หลายๆอย่างที่ฉันพูดและแสดงออกต่อผู้คนรอบข้าง เพื่อนฝูง หรือคนรู้จักสรุปสุดท้ายแล้ว ไม่มีใครเข้าใจจริงๆว่าฉันเป็นอะไร คิดอะไร หรือจะทำอะไร ไม่ใช่ว่าต้องการคนเข้าใจ...แต่ตรงกันข้าม...ไม่อยากให้ใครมาเข้าใจ มันเหนื่อยนะ...กับการพยายามเข้าใจใครบางคนอย่างฉัน...

ประโยคคำพูด วิธีการคิดการเขียนไม่ได้หมายความว่า...ฉันต้องเป็นแบบนั้นการรับรู้ถึงสิ่งที่ฉันพร่ำบันทึกไม่ได้หมายความว่า...รู้จักตัวตนของฉัน
อย่าพยายามอ่านฉัน...อย่าพยายามวิเคราะห์ฉัน...เพราะวันนึง...ในท้ายที่สุดฉันก็ต้องหายไป...และความทรงจำที่มีถึงฉันก็จะค่อยๆลดลงจนไม่เหลืออะไรเลย ในที่สุด...ให้ฉันเป็นอะไรก็ได้...เพราะนั่นไม่ได้หมายความว่าฉันสูญเสียความเป็นตัวเองไปแต่ฉันก็พร้อมจะเป็นให้...เป็นหุ่นเชิด ในโรงละครโรงใหญ่ที่ชื่อว่า โลก ให้

เอาซิ ใส่บทบาทให้ฉัน...
เอาซิ เชิดฉันไปในแบบที่ต้องการ...
เอาซิ คิดแทนฉัน...
เอาซิ ตอบคำถามที่เป็นของฉันแทนตัวฉัน...

เชิญ...