สังคมเราสมัยนี้แปลกดีเหมือนกันนะ สงสัยเยอะอยากรู้อยากเห็นเยอะ แต่ลืมง่าย ข่าวบางข่าวพอติดกระแสก็กระพรือกันอย่างกับพายุนากีส สร้างความสั่นสะเทือนต่อเรื่องที่กำลังอยู่ในกระแสและหน่วยงานที่เกี่ยวข้อง สร้างความเสียหายแก่ผู้ที่เกี่ยวข้อง หรือเป็นข่าวอย่างมากมาย จนเหมือนซ้ำเติมพอแล้ว อิ่มตัวแล้ว...ก็ลืม พอแล้วเบื่อแล้วไม่อยากพูดถึงแล้ว...เป็นอย่างนี้เหรอสมัยนี้
ถกกันสักหน่อย สรุปงูๆปลาๆ แล้วก็ซาหายไปเฉยๆ...จะอ้างว่าไม่อยากให้มีใครพูดถึงหรือตอกย้ำความเสียหายความเจ็บปวดที่เกิดขึ้น มันใช่เหรอ ก็ตอนที่เกิดปัญหาเกิดความเสียหายตื่นมาแต่เช้าโทรทัศน์อ่านข่าวกันครึกโครมทุกช่อง พาดหัวตัวเท่าบ้านในหนังสือพิมพ์ทุกฉบับ ย้ำๆซ้ำๆอยู่เป็นหลายวัน แล้วอยู่ๆข่าวพวกนั้นก็หายไป อาจไม่ถึงกับสาบสูญแต่ระดับการให้ความสำคัญลดลงอย่างรวดเร็วจนหมดไป จนกว่าจะเกิดเหตุการณ์ซ้ำรอยเดิม จึงหยิบจับมาพูดกันใหม่ เกิดเป็นวงจรหายนะซ้ำๆที่ไม่หมดสิ้นไป ตั้งกลุ่มนั้น หน่วยงานนี้ ผมไม่เคยเห็นมีใครมาแถลงผลการทำงานอย่างจริงจังสักคน สักกลุ่ม สักหน่วย ทำไม
เมื่อไหร่สังคมสมัยนี้จะตระหนัก และจดจำความผิดพลาดและแก้ไขอย่างจริงจังสักที จะมัวลอยชายเป็นใบไม้ปลิวตามลมไปถึงเมื่อไหร่ ลมหอบมาก็ลอยสูงปลิวว่อน พอลมหมดก็ร่วงลงหยุดนิ่งเน่าเปื่อยสลายไป จะเป็นกันแบบนี้นะหรือ คนในสังคมสมัยนี้ทำได้เท่านี้เองหรือ
มันน่าน้อยใจแทนผู้ที่สูญเสีย ธรรมชาติที่สูญเสีย สิ่งที่สูญเสียไป เพราะอีกไม่นาน คนเหล่านั้น สิ่งเหล่านั้น ธรรมชาติเหล่านั้นก็จะถูกลืม...แล้วเราจะมีความทรงจำและการเรียนรู้ไปทำไม เพื่อตัวเองเท่านั้นเหรอ
ที่ผมบันทึกถึงเรื่องนี้ก็บังเอิญว่าไปนั่งไล่ดูข่าวเก่าๆ หรือรายการทอล์คโชว์เก่าๆที่ถ่ายทอดไปแล้ว แล้วกลับมานั่งนึกว่า เอ...แล้วตอนนี้ไอ้ข่าวพวกนี้มันหายไปไหน กระแสแบบนั้นมันหายไปไหน อยู่ๆมันหายไปได้ยังไง ไม่มีใครกล่าวถึงอีกในช่วงเวลาไม่นาน...ทำไมเป็นแบบนั้น
แล้วก็มาตระหนักว่า...อ๋อ...คนในสังคมสมัยนี้มันลืมง่ายนี่เอง คนในสังคมสมัยนี้มัวแต่ตื่นขึ้นมาแล้วรู้ว่าตัวเองมีชีวิตก็ปั่นเงิน ปั่นอำนาจ จนถึงปั่นป่วนคนอื่นไปวันๆ แบบนี้เอง ทุกอย่างเป็นแค่ละครฉากหนึ่งของสังคมที่มันควรจะมี ควรจะออกมาพูดๆๆ แล้วก็ลืมมันซะ เพราะละครฉากต่อไปกำลังมา...บริโภคข่าวสารข้อมูลเพื่อให้มีเรื่องคุยในวงเหล้า ในสภากาแฟ ในการใช่เพื่อตีสนิทกับใครสักคนเพื่อผลประโยชน์อย่างอื่นเรื่องอื่น เมื่อหมดวาระก็หมดการสานต่อข้อมูลเหล่านั้น ไม่เคยแตกฉานกับอะไรจริงจังเลยสักอย่าง แค่ให้มีอะไรให้ดูเหมือน กูก็รู้นะ กูก็คุยได้นะ กูก็พูดได้นะ มันเลยกลายเป็นสังคมที่มีแต่คนจะพูด จะเสนอ แต่ไม่ฟัง หรือฟังแต่ไม่ได้ยินอยู่อย่างนั้น
แล้วความเสื่อมก็บังเกิด...จบ
พอแระ...เหนื่อยไม่รู้จะบันทึกไปทำไม...สุดท้ายก็เป็นได้แค่จุดสีเล็กๆจุดหนึ่งบนผืนผ้าใบอันใหญ่โตมโหฬาร ที่ไม่รู้ใครสักกี่คนจะสังเกตเห็น