เราเป็นใคร...แล้วอะไรล่ะที่เป็นเรา?

ความคิดในเรื่อง การปรับเปลี่ยนตัวเอง หลายๆครั้งกลับกลายเป็นการทรมานตนเอง ทรมานจากสิ่งที่ไม่ใช่เรา...แล้วเราเป็นใครล่ะ? อะไรล่ะที่เป็นเรา?

ไม่ใช่เรา แล้วเราคือใคร คือตัวตนของเราที่เรารู้จักจริงๆ หรือแค่คนที่ทำอะไรตามใจตัวเองมากเกินพอดี นี่เป็นสิ่งที่ท่านต้องตอบ ก่อนจะบอกว่าสิ่งใดเป็นเรา และสิ่งใดไม่ใช่เรา

ข้าพเจ้าเคยบันทึกในบล็อกนี้หัวข้อ อดีต ว่าเราเป็นทั้งหมดที่ผ่านมาตั้งแต่เกิดหรือเป็นเพียงแค่สิ่งที่เราจดจำมันได้ เราอาจจำได้ว่าเราขีจักรยานด้วยล้อเพียงสองล้อได้เมื่อไหร่ โดยประมาณแต่เราจำไม่ได้ถึงขั้นว่าเวลานั้นเป็นเวลาไหน นาทีที่เท่าไหร่ วินาทีใด จริงหรือไม่ ซึ่งก็ไม่แน่อาจมีคนจำได้ แต่กล่าวถึงบุคคลส่วนใหญ่ในโลกว่า สิ่งที่เราเป็นในอดีตนั้นเป็นเราจริงหรือ ในเมื่อเราจำรายละเอียดทั้งหมดของภาชนะบรรจุอดีตที่เรียกว่าความทรงจำได้ไม่ครบถ้วน อดีตหายไปเป็นช่วงๆและจำได้เป็นช่วงๆเช่นกัน แล้วเราเป็นใคร...?

มันอาจจะจริงที่เราไม่จำเป็นต้องมานั่งนึกในเรื่องที่ข้าพเจ้าพล่ามเหล่านี้หรอก ยังมีสิ่งให้ต้องทำและดำเนินไปในชีวิตประจำวันอีกมากมาย เพียงแต่ข้าพเจ้าอยากบอกว่า การกล่าวอ้างความเป็นเรานั้น เอาสิ่งใดมาวัดประเมินว่านี่แหละ ตัวฉัน

คนเราสูญเสียความเป็นตัวเองไปตั้งแต่แหกปากร้องครั้งแรกหลังจากมุดออกมาจากมดลูกแล้ว ท่านลองคิดดูซิว่า หมอถามเราหรือไม่ว่าเราต้องการเก็บหรือไม่เก็บส่วนใดในร่างกายไว้ ไม่เลย ทุกอย่างถูกตัดสินไปตามที่เห็นสมควร โดยผู้เชี่ยวชาญ โดยผู้ปกครองเรา ท่านเห็นรึเปล่าว่า เราไม่เคยมีสิทธิ์ ตั้งแต่แรกเกิดแล้ว


ท่านอาจแย้งว่า แล้วเด็กบอกได้เหรอ...ครับบอกไม่ได้ ผมถึงพล่ามอยู่นี่ไงครับ ว่าการกล่าวอ้างถึงสิ่งที่เราเป็น กับสิ่งที่กำลังอยากเป็น หรือเป็นอยู่ สิ่งไหนกันแน่ ที่เป็น ตัวเราเอง ไม่ได้โดนครอบงำ จากบุคคลแวดล้อม สภาพแวดล้อม และอะไรๆที่แวดล้อมแล้วแต่จะสรรหามาเรียก

ทุกคนหนี วาทกรรมไม่พ้นหรอกครับ เราหลุดจากวาทกรรมหนึ่ง ก็เข้าสู่อีกวาทกรรมหนึ่งโดยอัตโนมัติ เราจึงจำเป็นต้องรู้จักตัวเองให้ได้มากที่สุด รู้เท่าทันความคิดตัวเองให้ได้มากที่สุด มีสติกับสิ่งที่อยู่ตรงหน้าให้ได้มากที่สุด อย่าใช้อารมณ์ตัดสินคนอื่น หรือแม้กระทั่ง ตัดสินว่าตัวเองเป็นใคร โดยไม่ไตร่ตรอง เพราะอะไรก็ตามที่สติไม่ครองอยู่ด้วย มักจบที่หายนะเสมอๆ

แล้วตัวท่านล่ะเป็นใคร ข้าพเจ้าไม่ได้ถามนะ ข้าพเจ้ากำลังบอก เพราะคำตอบอยู่ที่ท่านเอง และอาจอยู่มานานแล้ว แต่ถูกกดทับด้วย สิ่งปรุงแต่งของสังคมรอบกาย



วันคืนของคนเรานั้นมีจำกัด วินาทีนี้
คนนับหมื่นนับแสนกำลังลืมตามาดูโลก
บางคนถูกลิขิตให้มีชีวิตอยู่เพียงไม่กี่วันหรือไม่กี่สัปดาห์ บางคนเพียงไม่กี่นาที
แล้วก็ตกเป็นเหยื่อของโรคภัยหรือเคราะห์กรรมน่าอนาถต่างๆนาๆ
บางคนอาจอยู่รอดมาเป็นศตวรรษ หรือเกินกว่านั้นนิดหน่อย
และได้ดื่มด่ำกับทุกๆรสชาตที่เวลาในชีวิตหยิบยื่นให้
ทั้งสิ่งที่ต้องการและไม่ต้องการ


แต่ไม่ว่าเราจะมีชีวิตอยู่แค่หนึ่งนาทีหรือหนึ่งศตวรรษก็ตาม
คำถามที่สำคัญยิ่งและจำเป็นต้องตอบตัวเองให้ได้ คือ อะไรคือจุดมุ่งหมายของชีวิต
และอะไรที่ทำให้เรามีคุณค่า?


จากหนังสือ
ศิลปะแห่งความสุข
โดย ดาไลลามะที่14
และโฮเวิร์ด ซี.คัทเลอร์
แปลโดย วัชรีวรรณ ชัยวรศิลป์

แล้วเราคือใคร

ความคิดในเรื่อง การปรับเปลี่ยนตัวเอง หลายๆครั้งกลับกลายเป็นการทรมานตนเอง ทรมานจากสิ่งที่ไม่ใช่เรา...แล้วเราเป็นใครล่ะ? อะไรล่ะที่เป็นเรา? ไม่ใช่เรา แล้วเราคือใคร คือตัวตนของเราที่เรารู้จักจริงๆ หรือแค่คนที่ทำอะไรตามใจตัวเองมากเกินพอดี นี่เป็นสิ่งที่ท่านต้องตอบ ก่อนจะบอกว่าสิ่งใดเป็นเรา และสิ่งใดไม่ใช่เรา


ข้าพเจ้าเคยบันทึกในบล็อกนี้หัวข้อ อดีต ว่าเราเป็นทั้งหมดที่ผ่านมาตั้งแต่เกิดหรือเป็นเพียงแค่สิ่งที่เราจดจำมันได้ เราอาจจำได้ว่าเราขีจักรยานด้วยล้อเพียงสองล้อได้เมื่อไหร่ โดยประมาณแต่เราจำไม่ได้ถึงขั้นว่าเวลานั้นเป็นเวลาไหน นาทีที่เท่าไหร่ วินาทีใด จริงหรือไม่ ซึ่งก็ไม่แน่อาจมีคนจำได้ แต่กล่าวถึงบุคคลส่วนใหญ่ในโลกว่า สิ่งที่เราเป็นในอดีตนั้นเป็นเราจริงหรือ ในเมื่อเราจำรายละเอียดทั้งหมดของภาชนะบรรจุอดีตที่เรียกว่าความทรงจำได้ไม่ครบถ้วน อดีตหายไปเป็นช่วงๆและจำได้เป็นช่วงๆเช่นกัน แล้วเราเป็นใคร...?


มันอาจจะจริงที่เราไม่จำเป็นต้องมานั่งนึกในเรื่องที่ข้าพเจ้าพล่ามเหล่านี้หรอก ยังมีสิ่งให้ต้องทำและดำเนินไปในชีวิตประจำวันอีกมากมาย เพียงแต่ข้าพเจ้าอยากบอกว่า การกล่าวอ้างความเป็นเรานั้น เอาสิ่งใดมาวัดประเมินว่านี่แหละ ตัวฉัน


คนเราในปัจจุบันสูญเสียความเป็นตัวเองไปตั้งแต่แหกปากร้องครั้งแรกหลังจากมุดออกมาจากมดลูกแล้ว ท่านลองคิดดูซิว่า หมอถามเราหรือไม่ว่าเราต้องการเก็บหรือไม่เก็บส่วนใดในร่างกายไว้ ไม่เลย ทุกอย่างถูกตัดสินไปตามที่เห็นสมควร โดยผู้เชี่ยวชาญ โดยผู้ปกครองเรา ท่านเห็นรึเปล่าว่า เราไม่เคยมีสิทธิ์ ตั้งแต่แรกเกิดแล้ว ท่านอาจแย้งว่า แล้วเด็กบอกได้เหรอ...ครับบอกไม่ได้ ผมถึงพล่ามอยู่นี่ไงครับ ว่าการกล่าวอ้างถึงสิ่งที่เราเป็น กับสิ่งที่กำลังอยากเป็น หรือเป็นอยู่ สิ่งไหนกันแน่ ที่เป็น ตัวเราเอง ไม่ได้โดนครอบงำ จากบุคคลแวดล้อม สภาพแวดล้อม และอะไรๆที่แวดล้อมแล้วแต่จะสรรหามาเรียก


ทุกคนหนี วาทกรรมไม่พ้นหรอกครับ เราหลุดจากวาทกรรมหนึ่ง ก็เข้าสู่อีกวาทกรรมหนึ่งโดยอัตโนมัติ เราจึงจำเป็นต้องรู้จักตัวเองให้ได้มากที่สุด รู้เท่าทันความคิดตัวเองให้ได้มากที่สุด มีสติกับสิ่งที่อยู่ตรงหน้าให้ได้มากที่สุด อย่าใช้อารมณ์ตัดสินคนอื่น หรือแม้กระทั่ง ตัดสินว่าตัวเองเป็นใคร โดยไม่ไตร่ตรอง เพราะอะไรก็ตามที่สติไม่ครองอยู่ด้วย มักจบที่หายนะเสมอๆ


แล้วตัวท่านล่ะเป็นใคร ข้าพเจ้าไม่ได้ถามนะ ข้าพเจ้ากำลังบอก เพราะคำตอบอยู่ที่ท่านเอง และอาจอยู่มานานแล้ว แต่ถูกกดทับด้วย สิ่งปรุงแต่งของสังคมรอบกาย


วันคืนของคนเรานั้นมีจำกัด วินาทีนี้ คนนับหมื่นนับแสนกำลังลืมตามาดูโลก บางคนถูกลิขิตให้มีชีวิตอยู่เพียงไม่กี่วันหรือไม่กี่สัปดาห์ เมื่อเราเกิดมาถูกลิขิตให้อยู่มาจนถึงปัจจุบันนี้ ก็อย่าให้เสียทีที่ชีวิตยืนยาวกว่าผู้อื่นเลย

Vice Note

เมื่อวานวันที่ 20 ตุลาคม 2550 ข้าพเจ้าได้รับเชิญจากคุณ Blueswing ให้เข้าร่วมเขียนบล็อกที่ชื่อ Vice note ก็เป็นอะไรที่แปลกดี Concept ไม่ได้หวือหวาอะไร แค่เอาไว้บันทึกความช้วในหนึ่งวันที่ตัวเราเองได้ทำ

ทีนี้ลองมาทำความเข้าใจกับคำว่า ชั่ว กันหน่อย ความชั่ว คือสิ่งไม่ดีและตรงข้ามกับความดีใช่ไหม แล้วในหนึ่งวันเราก็มีเรื่องที่เราก็รู้อยู่แล้วว่ามันไม่ดีแต่ก็ยังทำอยู่ใช่ไหม และจะด้วยเหตุผลใดๆก็ตาม ที่ข้าพเจ้าเห็นว่ามันน่าสนใจก็ตรงที่ เราได้บันทึกสิ่งที่เราก็รู้อยู่แล้วว่ามันไม่ดี เหมือนเตือนตัวเองเอาไว้ ว่าสิ่งที่เราได้บันทึกไว้เหล่านั้น จะพยายามลด ละ เลิก จากการกระทำเหล่านั้น และข้าพเจ้าคิดว่ามันไม่ใช่การประจานตัว แต่เป็นการย้ำเตือนว่า หากมีใครเข้ามาอ่าน หรือเรารู้ว่าต้องมีคนเข้ามาอ่าน เราอาจเกิดความละอายจากสิ่งไม่ดีเหล่านั้นและไม่ทำมันอีกในที่สุด

ความละอายชั่ว กลัวบาป ทางพุทธศาสนาถือว่าเป็นสิ่งดี และการที่เราได้บันทึกมันไว้ เมื่อวันนึงเรากลับมาอ่านจากบันทึกนั้นๆ เราจะได้รู้เท่าทันความชั่ว ความไม่ดีในตัวเอง และปรับปรุงแก้ไข ให้เหมาะให้ควร ต่อไป

มันอาจดูไร้สาระ สำหรับคนที่แบก ทฤษฎีทางโลก จากความจำเป็นในการดำรงชีวิตประจำวัน แต่ลองมองอีกแบบว่า มันก็เป็นการระบายออกที่ทำให้เราได้นั่งสำนึกถึงสิ่งไม่ดีในหนึ่งวันที่เราได้ทำไป ไม่ว่าจะกับตัวเองหรือคนอื่นบ้าง และข้าพเจ้าเห็นว่า ส่วนนี้แหละที่คนในฝูงชนปัจจุบันขาดแคลนไปอย่างมาก ความสำนึกและความละอายในสิ่งไม่ดีที่เราทำต่อตัวเองและคนอื่น

มารู้เท่าทันความชั่วในตัวเองกันเถอะ Vice Note

คำพูดที่เข้าใจยาก

ในสถานที่ ที่มีผู้คนรายล้อมมากมาย แต่เหมือนอยู่คนเดียว
มันเป็นความรู้สึกแบบไหนกัน มันเป็นความเหงาที่ยิ่งกว่าความเหงารึปล่าว
หรือเพียงแค่เราใช้ชีวิตเพียงลำพังไม่เป็นหรือไม่ถูกวิถีของการอยู่เพียงลำพังนั้น

คำพูดที่เข้าใจยาก ใช่ว่าเราไม่รู้ความหมายของมัน เพียงแต่เราพยายามเลี่ยงที่จะเข้าใจมัน เพราะมันเป็นสิ่งที่เราไม่ต้องการใช่ไหม ตัวอักษรของคนที่อยู่ในเผ่าพันธุ์เดียวกัน มันไม่เหมือนกันได้ยังไง เราเริ่มเรียนรู้ตัวอักษรพวกนี้ในวัยเยาว์เหมือนกันไม่ใช่เหรอ แล้วเหตุใด แค่เขียนอักษรเป็นคำ และเรียงมันออกมาเป็นประโยคของคนแต่ละคนจึงทำให้คนเข้าใจหรือไม่เข้าใจซะล่ะ เพราะเวลาเราอ่านมัน เราไม่ได้เรียนรู้มันใช่ไหม แต่กลับใช่เพียงประสบการณ์ส่วนตัวเข้ามาผนวกกับสิ่งที่อ่าน จนทำให้มันยุ่งเหยิง จนเราสับสนเองใช่ไหม

แม้แต่ภาษาของบรรพบุรุษเราเองที่รังสรรขึ้นเพื่อให้อนุชนรุ่นหลังได้ใช้ ยังต้องแปลความกันหลายตลบ ทั้งความหมายในคำ และระดับภาษา จนบางคนมองไม่เห็นถึงความสละสลวยของมัน เอาง่ายเข้าว่า จนรูปแบบผิดเพี้ยนไปมาก เมื่ออยากย้อนกลับไปสู่ความสามัญของภาษา เราก็ลืมมันไปหมดสิ้นซะแล้ว

ในสถานที่ ที่มีผู้คนรายล้อมมากมาย แต่เหมือนอยู่คนเดียว
มันเป็นความรู้สึกแบบไหนกัน มันเป็นความเหงาที่ยิ่งกว่าความเหงารึปล่าว
หรือเพียงแค่เราใช้ชีวิตเพียงลำพังไม่เป็นหรือไม่ถูกวิถีของการอยู่เพียงลำพังนั้น
สังคม คือการที่คนอยู่รวมกันและมีปฏิสัมพันธ์กันในรูปแบบใดรูปแบบหนึ่งใช่ไหม แล้วปัจจุบันนี้สังคมที่เราใช้เรียกอยู่มันเป็นสังคมหรือไม่ มันเป็นแค่ฝูงชนใช่รึปล่าว แล้วเหตุใดจึงนำมาใช้ปนกันจนดูยุ่งเหยิง หรือจะบอกแค่เพียงว่า รูปแบบของสังคมเปลี่ยนไป ถ้าเป็นเช่นนั้น ก็ไม่สมควรใช่คำว่า สังคมอีกต่อไป ควรเปลี่ยนหรือบัญญัติคำขึ้นใหม่ซะ จะเป็นการดีกว่า

ในสถานที่ ที่มีผู้คนรายล้อมมากมาย แต่เหมือนอยู่คนเดียว
มันเป็นความรู้สึกแบบไหนกัน มันเป็นความเหงาที่ยิ่งกว่าความเหงารึปล่าว
หรือเพียงแค่เราใช้ชีวิตเพียงลำพังไม่เป็นหรือไม่ถูกวิถีของการอยู่เพียงลำพังนั้น

ท่านเข้าใจความหมายของประโยคนี้ในรูปแบบใดกัน...

แบบคนที่รู้สึกเหงา
แบบคนที่อยู่เพียงลำพัง
แบบคนที่สร้างกำแพงขึ้นมาล้อมกรอบตัวเอง
แบบคนที่ไร้ซึ่งความรู้สึกต่อการปฏิสัมพันธ์กับบุคคลรอบข้าง

หรือแค่...

เฉยๆ เพราะมันไม่มีความหมายกับชีวิตและประสบการณ์ในอดีตของท่าน

ในสถานที่ ที่มีผู้คนรายล้อมมากมาย แต่เหมือนอยู่คนเดียว
มันเป็นความรู้สึกแบบไหนกัน มันเป็นความเหงาที่ยิ่งกว่าความเหงารึปล่าว
หรือเพียงแค่เราใช้ชีวิตเพียงลำพังไม่เป็นหรือไม่ถูกวิถีของการอยู่เพียงลำพังนั้น

กลอนปลายฝนต้นหนาว

ริ่มเข้าสู่ ปลายหน้าฝน ต้นหน้าหนาว
ก็ถึงคราว ฤดูกาล ผ่านผันเปลี่ยน
ความเจ็บปวด ที่รวดร้าว ก็หมุนเวียน
เริ่มสับเปลี่ยน สู่กาลหลัง ครั้งผ่านมา

ในหน้าหนาว ฤดูหนึ่ง ของปีนั้น
ที่ตัวฉัน ไม่มีเธอ กอดรับหนาว
นั่งมองฟ้า ที่โปร่งปลอด นอนนับดาว
นึกถึงคราว ครั้งยังคง อยู่ข้างเธอ

แต่หนาวนี้ หนาวที่สี่ ที่เธอจาก
หนาวที่พราก ตัวเธอไป ไกลห่างฉัน
เริ่มไม่ชอบ พิศมัย ในหนาวนั้น
เพราะว่ามัน เป็นฤดู ที่คู่เมิน

ใครมีรัก ในหนาวนี้ ขอรักษา
อย่านำพา ซึ่งสิ่งหมอง ให้ต้องเหงา
อย่าให้หนาว มาพัดพราก ให้หมองเศร้า
จงดูแล คำว่า'เรา' ให้เนิ่นนาน

พราะเวลา กอดตัวเอง กับความหนาว
มันช่างเศร้า มันช่างเหงา ในดวงจิต
มันช่างดู รอบกายหม่น ให้นอนคิด
ว่าชีวิต ที่ไร้คู่ ดูเดียวดาย

ใครมีรัก จงรักษา อย่าเมินหมาง
จนถึงทาง ที่รักร้าว เกินประสาน
เมื่อไม่มี คนให้รัก อยู่เนิ่นนาน
อาจจะพาล กลายเป็นคน ที่ชินชา

ฉันก็เป็น ที่เริ่มชิน กับความเหงา
อยู่คนเดียว แบบเปลี่ยวเปล่า ไม่หวั่นไหว
วันๆบ่น ถึงแต่คน ที่จากไป
แต่ไม่ใช่ ว่ายังคอย ให้หวนมา

เพียงฤดู วนมาถึง อีกหนึ่งหนาว
จึงบ่นพูด ถึงความร้าว และย้ำไว้
พูดถึงสิ่ง ที่ฉันดู แลมิได้
จนความรัก ต้องจากไป ไกลสุดตา