ค้น...ให้เจอ

  • ฉันเคยนั่งวาดรูปสมัยเด็กๆ และฉันเรียนไม่เอาไหน
  • ฉันเคยเรียนภาษาจีนทั้งๆที่พ่อแม่ของฉันก็เป็นเชื้อสายจีน ที่ทั้งปู่ย่าตายายฉันก็อพยพมาจากเมืองจีนและฉันก็ไม่เอาถ่าน
  • ฉันเคยเรียนเปียนโน ได้รู้จักตัวโน้ต เล่นเพลงง่ายๆได้ และฉันก็ล้มเลิกมันเสีย
  • ฉันเคยเข้าวงดุริยางค์ของโรงเรียน ได้เล่น ซูปราโน่แซ็ก เป็นเครื่องแรก ตามมาด้วย คาริเน็ต แล้วฉันก็ถูกฉุดรั้งให้กลับมาเรียนด้านวิชาการเพียงอย่างเดียว
  • ฉันเคยเป็นนักกีฬาบาสเก็ตบอลของอำเภอ และเป็นนักกีฬากระโดดสูงของโรงเรียน แล้วฉันก็ถูกฉุดให้กลับเข้าหาวิชาการเพียงอย่างเดียวอีกครั้ง
  • ฉันเคยเล่นกีต้าร์ แล้วเปลี่ยนเป็นเบส มีวงกับเพื่อนๆซ้อมกันเล่นกัน แล้วต่างคนก็ต่างแยกย้ายกันไป และฉันก็เลิกเล่นมันไปเฉยๆ
  • ฉันเรียนมัธยมปลาย สายวิทย์ เรียนทั้งเคมี ชีวะ และฟิสิกส์ แล้วสุดท้ายฉันก็ย้อนกลับไปหาสิ่งที่ฉันทำในวัยเด็กนั่นคือ การวาดรูปและศิลปะ

ทั้งหลายเหล่านี้ ฉันมานั่งนึกว่า...สิ่งใดกันหนอที่เป็นแรงขับให้เกิดการค้นหาตัวเองตั้งหลายด้านเพื่อสุดท้ายก็กลับมาทำในสิ่งที่เราชอบอยู่แล้วแต่แรก และถึงแม้มันไม่ได้สุดยอดในสายตาใคร ฉันก็ยังภูมิใจที่ฉันได้ทำในสิ่งที่ฉันชอบ หลายๆครั้งฉันนั่งนึกว่ามันก็ตลกดีนะ เพราะหากวันเก่าก่อนนั้นฉันไม่ถูกดึงถูกรั้งกลับมา ฉันอาจเป็นอย่างอื่นไปแล้วก็เป็นได้ แต่หากถามความชอบจริงๆอย่างที่สุด ฉันก็ยังไม่ทิ้งการวาดอยู่ดี ทั้งหมดนี้ฉันถือว่าอย่างน้อยฉันก็รู้ว่าฉันชอบอะไรและได้ทำในสิ่งนั้น หากหลังจากนี้ อาชีพฉันจะเปลี่ยนไปอีกกี่ร้อยกี่พันอย่าง สักวันฉันก็จะต้องหาทางย้อนกลับมาสู่สิ่งที่ฉันรักและชอบอีกจนได้นั่นแหละ

การค้นหาตัวเองไม่ใช่การหลอกตัวเอง แต่บางครั้งความจำเป็นที่จะต้องทำในสิ่งที่ไม่ได้รักไม่ได้ชอบ มันก็ไม่ได้หมายความว่า เราทรยศตัวเองสักหน่อย เราแค่เดินอ้อมไปอีกนิดก็เท่านั้น บางคนอาจเดินอ้อมได้เร็วและกลับมาในเส้นทางเดิมของตนได้เร็ว ในขณะที่บางคนก็ช้าเพราะมัวแต่เขว้ไปตามแรงดึงของสิ่งรอบกายจากผู้คนรอบข้าง

จะอย่างไรก็แล้วแต่ อย่าให้กลายเป็นว่า...กว่าจะรู้ว่าตัวเองต้องการทำอะไร รักชอบสิ่งใดจริงๆ ก็จวนเจียนเข้าสู่ช่วงสุดท้ายของอายุขัยซะก่อนก็แล้วกัน แต่ก็อีก...ถึงจะรู้ช้า ก็ยังดีกว่าตายไปโดยที่ไม่รู้เลยว่า ตัวเราเองรักและชอบในสิ่งใดกัน

ฉันจำประโยคที่ คุณอุดม แต้พานิช พูดอยู่ประโยคหนึ่ง ที่เห็นแล้วว่ามันเป็นจริงที่สุดสำหรับคนยุคปัจจุบัน ประโยคที่ว่านั้นคือ

"คนเรามีความพยายามเท่ากัน แต่ใช้ไม่เท่ากัน"


ฉันว่ามันบ่งบอกรวมได้ถึงว่า...พรสวรรค์ อาจเป็นเพียงสิ่งที่ตนชอบและรู้สึกถนัดในการที่จะทำ แต่พรแสวง เป็นความพยายามเพื่อสร้างความชำนาญ ที่เมื่อใครมีแล้วไม่ว่าจะทำสิ่งใดๆที่ตนมีความชำนาญและรู้แจ้งแทงตลอด ย่อมประสบผลสำเร็จทั้งสิ้น

ค้นหาตัวเองให้พบ และใช้ความพยายามเพื่อให้เกิดความชำนาญให้ถูกทาง แล้วท่านจะได้รู้ว่า

ความสุขนั้นอยู่กับสิ่งที่ได้ทำ ไม่ใช่สิ่งที่ได้มา

ไม่มีความคิดเห็น: