ในเช้าก่อนวันหยุดนักขัตฤกษ์ เด็กชายกับรถเข็นบนเบาะขาดๆและส่วนที่เป็นโลหะสนิมเกรอะกรัง ที่ด้ามจับเพื่อใช้เข็นนั้น เต็มไปด้วยสายเชือกป่านสีขาวผูกติดระโยงระยางลอยขึ้นสูงสู่ปลายเชือกด้านบน เต็มไปด้วยลูกโป่งสดสวยหลากหลายสีสันประมาณสิบลูกรถเข็นจอดอยู่ในสวนสาธารณะบนถนนทางเดินขนาดไม่ใหญ่เรียบต้นหญ้าข้างทางและติดกับบ่อน้ำที่คนทั่วไปในย่านนี้ ใช้เป็นที่พักผ่อนหย่อนใจ และออกกำลังกายในช่วงเช้า ทั้งวิ่ง ทั้งเดิน บ้างก็นั่งบ้างก็รำมวยจีน มีทั้งเด็ก ผู้ใหญ่ จนถึงวัยชรา
ต้น เด็กชายวัย 12 ปี นั่งจ่อมติดกับตัวรถเข็น รอผู้คนที่ผ่านไปมา เพื่อขายลูกโป่งที่เขารับมาขายอีกต่อนึงอย่างอดทน เพราะหากไม่ใช่วันหยุดที่มีคนพลุกพล่านจริงๆ ก็ยากที่จะมีใครหยุดซื้อลูกโป่งที่ผูกติดกับรถเข็นของเขา
"ซื้อลูกโป่งไหมครับ" เสียงเด็กชายร้องเรียกผู้คนที่ผ่านไปมาหน้ารถเข็นที่เขานั่ง ซึ่งก็ไม่มีทีท่าว่าใครจะหยุดซื้อความคิดในหัวตอนนี้มีเพียง ทำอย่างไรให้วันนี้ มีเงินซื้อข้าวกลับไปให้ปู่ที่นอนซมอยู่กับบ้านได้กิน จนเวลาคล้อยผ่านไปตอนสายของวันนั้น
"ขอซื้อลูกโป่งสักสามลูกซิหนู ลูกละเท่าไหร่จ้ะ"เสียงพูดอันนุ่มนวลผ่านมาตามลมเอื่อยๆ
"ลูกละ สิบบาทครับผม" ต้นขานตอบ บอกราคากับหญิงสาววัยกลางคนผู้นั้น
"ขอบคุณมากครับ"
เวลาใกล้เที่ยง เด็กชายมีเงินในกระเป๋า 30 บาท เข็นวงล้อรถที่เขานั่งไปตามทางออกจากสวนสาธรณะเพื่อตรงไปยังร้านขายอาหารตามสั่งใกล้บ้าน เพื่อซื้อหาข้าวปลากลับไปฝากปู่
"ป้าติ๋วๆ ขอข้าวผัดกล่องนึงครับ"
"ทำไมซื้อแค่กล่องเดียวล่ะต้น อยู่บ้านกันสองคนไม่ใช่เหรอ"
"วันนี้ขายได้นิดเดียวเองครับ มีพอซื้อได้แค่กล่องเดียว" เด็กชายตอบด้วยสีหน้าหงอยๆ
"ไม่เป็นไร เดี๋ยวป้าทำให้สองกล่องนะ เอาไปกินกัน"
ป้าติ๋วคนขายอาหาร บอกกับเด็กชายอย่างเข้าใจถึงปํญหาที่ต้นเผชิญอยู่
"มันจะดีเหรอครับป้า ของต้องซื้อต้องขาย"ต้นตอบด้วยน้ำเสียงเกรงใจ
ป้าติ๋วไม่ได้ตอบอะไร มีเพียงรอยยิ้มส่งกลับมายังต้น เมื่อได้ข้าวกล่องแล้วก็เดินทางกลับบ้านอย่างดีใจที่เที่ยงนี้ ปู่กับตัวเขา จะได้กินอิ่มอย่างน้อยก็หนึ่งมื้อ ระหว่างทาง ผ่านร้านขายของชำ เด็กชายยังพอมีเงินเหลืออยู่บ้าง กับความตั้งใจบางอย่าง ที่จะทำในวันหยุดวันพรุ่งนี้ เขาซื้อกระดาษกับดินสอมา แล้วรีบเดินทางต่อเข้าไปในตรอกเล็กๆ ที่สองข้างทางเต็มไปด้วยน้ำสีดำส่งกลิ่นเหม็นอบอวล...
"ปู่ๆ ผมกลับมาแล้วปู่ เดี๋ยวผมเอาข้าวเข้าไปให้กินนะ"
ไม่ได้มีเสียงตอบกลับเป็นคำพูดใดๆ มีเพียงเสียงคราง ฮือๆ อือๆ ลอดผ่านช่องไม้ผุๆที่ใช้เป็นฝาบ้าน กันลมกันฝนมานานหลายปีตั้งแต่เขาจำความได้ ให้ได้รับรู้ถึงตัวตนของผู้เฒ่าวัยใกล้ฝั่งที่ป่วยกระเซาะกระแซะ ว่ายังมีลมหายใจอยู่ ต้นอยู่กับปู่มานานแล้วตั้งแต่ยังแบเบาะไม่เคยเห็นหน้าค่าตาของผู้เป็น บิดามารดรของตนว่าเป็นผู้ใด และไม่เคยเอ่ยถามกับปู่แม้อยากรู้ก็ตามที ด้วยเห็นปู่นั้นเป็นดั่งพ่อและแม่ หาเลี้ยงเขามาหลายปีจนมาป่วยลง จึงทำให้ต้น ต้องออกหาเงินเองแม้ร่างกายจะพิการ ด้วยขาที่ลีบเดินไม่ได้ บนรถเข็นที่ปู่เป็นคนทำให้จากเศษวัสดุ เมื่อหลายปีก่อน
คืนนั้น หลังจากจัดแจงให้ปู่ได้นอนแล้ว เด็กชายเอากระดาษกับดินสอที่ซื้อมาขึ้นมาเขียนข้อความ ด้วยลายมือที่ดูยุ่งเหยิงแต่พออ่านออก จากเด็กที่ได้เรียนมาน้อย พออ่านออกเขียนได้ใส่กระดาษสีขาว อย่างตั้งอกตั้งใจ จนเสร็จ ต้นคืบคลานด้วยมือทั้งสองข้าง พร้อมกระดาษที่คาบอยู่ที่ริมฝีปาก เพื่อไปยังรถเข็น ที่มีลูกโปงเหลืออยู่ เขาจัดแจงผูกกระดาษที่ตอนนี้ถูกม้วนเป็นทรงกระบอกติดกับปลายเชือกอย่างบรรจงและแน่นหนา แล้วต้นก็คืบคลานอีกครั้งไปยังหลังบ้านซึ่งเป็นทุ่งหญ้าแทงยอดสูงรกร้าง แล้วเขาก็ปล่อยลูกโป่งนั้นลอยสูงขึ้นไป สูงขึ้นไป จนแสงดาวและเดือน ไม่อาจส่องให้มองเห็นได้ลอยลิ่วสูงไปจนลับตา ต้นนั่งมองลูกโป่งลูกนั้นด้วยรอยยิ้มแห่งความพึงพอใจ ก่อนจะหันตัวกลับเขาไปในตัวบ้าน เอนตัวลงนอนบนผืนเสื่อขาดๆของตัวเองภายในมุงข้างปู่ของเขา บ่นพึมพำเบาๆกับตัวเองว่า
"หวังว่าเขาคงได้รับรู้" แล้วก็ผลอยหลับไป
รุ่งขึ้น เช้าวันหยุดที่ต้นไม่หยุด ยังคงพาตัวเองกับรถเข็นออกไปขายลูกโป่งที่รับมาใหม่หลังจากเอาของเก่าไปเปลี่ยน เพื่อเติมแก๊ซและผูกเชือกนำกลับมาขายใหม่ในวันหลัง ทุกอย่างดำเนินไปเกือบเหมือนทุกวัน ดีกว่าก็ตรงที่วันนี้คนในสวนสาธารณะนั้นดูหนาตากว่าทุกวัน เนื่องจากเป็นวันหยุดพิเศษ และทำให้ต้นขายลูกโป่งได้เยอะกว่าทุกๆวัน
แล้วเหตุแห่งความบังเอิญ หรือสิ่งที่ต้นตั้งใจไว้นั้นสำเร็จผลก็มิอาจรู้ได้ หญิงสาววัยกลางคนที่ซื้อลูกโป่งของต้นเมื่อวานเดินมาพร้อมมือที่ถือแผ่นกระดาษดูคุ้นตาที่ต้นจำได้เพราะเมื่อวานมีหญิงคนนี้เพียงผู้เดียวที่ซื้อลูกโป่งของต้น ตรงเข้ามาหายังรถเข็นที่เขานั่งอยู่อย่างจงใจ
หญิงสาวกลางคนเอ่ยขึ้นพร้อมน้ำเสียงสั่นเครือ
"ต้น...ต้นลูกแม่ แม่ขอโทษ"
หญิงสาวกลางคนเล่าถึงความเป็นมาเป็นไปให้ต้นได้ฟัง แม้ตัวเขาจะไม่ค่อยเข้าใจนักกับคำพูดอธิบายต่างๆ แต่สิ่งที่ต้นเขียนในกระดาษแผ่นนั้น ได้เล่าความเป็นไปของตัวต้นเองและปู่หลังจากที่ม้วนกระดาษแผ่นนี้ ตกลงในสวนหน้าบ้านของหญิงกลางคนผู้นี้ เมื่อได้เปิดอ่าน ก็แจ้งแก่ใจในทันทีว่าข้อความทั้งหลายที่บันทึกนั้น เป็นลูกของเธอแน่ๆ ด้วยความสงสัยจึงเดินทางไปสอบถามยังชุมชนที่มีชื่อปรากฏอยู่ ในกระดาษ และได้พบกับปู่ของต้น ทุกอย่างก็กระจ่างชัด
ข้อความที่บันทึกในกระดาษนั้นมีใจความว่า...
ถึง คนบนฟ้า
ผมชื่อต้น อายุ 12 ปี ที่ผมเขียนจดหมายฉบับนี้เป็นเพราะความตั้งใจที่จะเขียนถึงท่านบอกเล่าเรื่องราวที่ผมอยากรู้มานานหลายปี ตั้งแต่ผมจำความได้ผมอาศัยอยู่กับปู่ทิว ท่านเป็นเหมือนทั้งพ่อและแม่ของผม ความเป็นอยู่ของเราลำบากเหลือเกิน แต่ผมไม่ท้อที่จะดูแลปู่ทิวของผมเลยนะ และแม้ตัวผมเองจะเกิดมาพิการ ผมก็ยังพยายามเป็นคนดี
สิ่งที่ผมอยากบอกและขอท่านในวันหยุดนี้ วันหยุดอันแสนวิเศษที่ทำให้ผมรู้ว่าอย่างน้อยที่ผมได้เกิดมาก็ต้องมีพ่อและแม่เหมือนกันกับคนอื่นๆแม้ผมจะไม่เคยได้เจอท่านก็ตามผมอยากขอให้ท่านฝากข้อความนี้ไปบอกกล่าวกับคุณพ่อคุณแม่ของผมว่า
ผมคิดถึงพวกท่าน อยากกราบเท้าท่านในวันนี้ กอดท่านแม้ไม่เคยรู้เลยว่าหน้าตาพวกท่านเป็นยังไง ผมจะรักพวกท่าน แม้ว่าพวกท่านจะทอดทิ้งผม ผมแค่อยากให้พวกท่านรับรู้ ยังไงผมฝากท่านช่วยบอกแทนผมด้วยนะครับ ว่าขอให้พวกท่านมีความสุข แข็งแรง ไม่เจ็บไม่ไข้ แต่หากพวกท่าน อยู่บนฟ้าเหมือนกัน ก็ขอให้พวกท่านอวยพรให้เรา ปู่หลาน ในวันแม่วันนี้ด้วย ขอบคุณครับ
จาก ด.ช.ต้น ชุมชนตรอกน้ำเรียบ
ชื่อบุคคล สถานที่ ที่ปรากฎในเรื่องสั้นเรื่องนี้ เป็นการสมมุติขึ้นทั้งสิ้น
ไม่มีเจตนาล่วงเกิน หลบลู่ ใครแต่ประการใด
1 ความคิดเห็น:
สงสารต้นนะคะ
แสดงความคิดเห็น